หลังจากไปเขย่าขวัญในระดับนานาชาติ จนสามารถเปิดตัวทำรายได้วันแรกขึ้นเป็นอันดับ 1 ของโรงภาพยนตร์เกาหลี ในวันนี้ ‘ร่างทรง‘ โปรเจกต์ภาพยนตร์สยองขวัญสุดพิเศษเรื่องล่าสุดจากค่าย GDH (จีดีเอช) ที่ได้จับมือร่วมสร้างความหลอนเหนือชั้นกับ SHOWBOX ค่ายหนังยักษ์ใหญ่จากประเทศเกาหลีใต้ ก็พร้อมท้าทายทุกความเชื่อให้คนไทยพิสูจน์ความหลอนแล้ว การถ่ายทอดเรื่องราวการสืบทอดทายาทร่างทรงที่กลับกลายเป็นการส่งต่อความตาย เรื่องราวตอนจบจะเป็นอย่างไร ติดตามได้แล้ววันนี้ในโรงภาพยนตร์
เรื่องย่อภาพยนตร์ ‘ร่างทรง’
‘ร่างทรง’ เป็นเรื่องราวของครอบครัวหนึ่งในภาคอีสาน ประเทศไทย ที่สืบเชื้อสายร่างทรงของ “เทพบาหยัน” มาหลายชั่วอายุคน ซึ่งเชื่อกันว่าจะเลือกแต่ร่างของผู้หญิงเพื่อสืบทอดทายาทเท่านั้น โดยมี “นิ่ม” (รับบทโดย เอี้ยง-สวนีย์ อุทุมมา) เป็นผู้สืบทอดสายเลือดร่างทรงคนปัจจุบัน ก่อนที่เธอจะพบว่า “มิ้ง” (รับบทโดย ญดา-นริลญา กุลมงคลเพชร) หลานสาวคนเดียวของตระกูลที่คาดว่าน่าจะถูกรับเลือกให้เป็นทายาทร่างทรงคนต่อไป เริ่มมีอาการแปลกประหลาดหลายอย่างเกิดขึ้น อาการของมิ้งนั้นน่ากลัวขึ้นเรื่อย ๆ จนสมาชิกในครอบครัวเริ่มสงสัยกันว่าสิ่งที่เข้ามาอยู่ในร่างของมิ้ง อาจจะไม่ใช่เทพบาหยัน อย่างที่ทุกคนคิด
เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการไปชม ร่างทรง ในโรงภาพยนตร์ Korseries ได้มีโอกาสเข้าร่วมงานเปิดตัวนักแสดงนำ และรับชมการสัมภาษณ์สุดพิเศษจากผู้กำกับ โต้ง-บรรจง ปิสัญธนะกูล และโปรดิวเซอร์ชาวเกาหลีชื่อดัง นาฮงจิน ที่มาเผยถึงเบื้องลึกเบื้องหลังและเรื่องราวที่น่าสนใจ สู่การจับมือร่วมสร้างมิติใหม่ของหนังผีไทยระดับนานาชาติระหว่างไทย – เกาหลีที่ผู้ชมชาวไทยตั้งตารอคอย จะเป็นมีเรื่องราวอะไรซ่อนอยู่บ้าง ไปอ่านพร้อมกันเลย ~
บทสัมภาษณ์ ‘ร่างทรง’
ในมุมมองของคุณโต้งคิดว่าคุณนาฮงจินเป็นผู้กำกับที่มีความพิเศษอย่างไร
โต้ง บรรจง : จริง ๆ เขาเป็นคนที่ทำหนังยาวมาแค่ 3 เรื่อง แต่ทำแต่ละทีจะพิถีพิถันและประณีตมาก ถ้าได้ดูจะรู้เลยว่ารายละเอียดหนังแต่ละอันเขาเข้มข้นมาก ดูแล้วบีบหัวใจมาก
คุณนาฮงจินได้มาร่วมงานกับ ผู้กำกับ โต้ง บรรจง ได้อย่างไร
โต้ง บรรจง : มันมีงานของหอศิลป์ไทยครับ เขาให้ผมเลือกหนังมาฉาย เรื่องอะไรก็ได้ในโลก และเขาจะพยายามเชิญผู้กำกับมา แล้วผมเลือกเรื่อง The Chaser ซึ่งเป็นหนังเรื่องแรกของเขา ก็ไม่คิดว่าเขาจะมา เพราะเขาดังมาก ไปคานส์ทุกเรื่อง ปรากฏว่าเขามา ก็เลยได้คุยกัน ผมเลยถือโอกาสนั้นยัดเยียดงานตัวเองให้เขาไป (หัวเราะ) ทั้งกล่องเลย ตั้งแต่เรื่องชัตเตอร์ฯ ให้ทุกเรื่องเลย แล้วก็หายไป 2-3 ปี อยู่ ๆ เขาติดต่อมาบอกว่ามีโปรเจกต์จะให้กำกับ แล้วเขาจะโปรดิวซ์ให้ ตอนเขาติดต่อมาก็คิดว่าโยนอะไรมาให้ก็ทำหมด คือแค่ว่าระดับเขา แล้วเขามาเห็นเรา มาชวนเราทำ เราก็เลยรู้สึกว่า เห้ย เขาเห็นอะไรในตัวเรา
นาฮงจิน : เมื่อหลายปีก่อน ผมได้เจอกับผู้กำกับบรรจงในงานอีเว้นท์ที่กรุงเทพเป็นครั้งแรก ตอนอยู่ในงานเราได้พูดคุยกันและรู้จักกัน มันเป็นความทรงจำที่ดีมาก รู้สึกประทับใจผู้กำกับบรรจงก่อนที่จะบินกลับเกาหลี และระหว่างขั้นตอนที่ผมกำลังเขียนบท เตรียมผลงานหนัง และกำลังเริ่มจะผลิต ผมลองพิจารณาดูว่าจะให้ใครมากำกับเรื่องนี้ อะไรจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด แล้วอยู่ๆ ผมก็คิดถึงผู้กำกับบรรจงขึ้นมา ก็เลยติดต่อให้มากำกับหนังเรื่องนี้ ต้องขอขอบคุณทางผู้กำกับที่ตอบตกลงกลับมา ก็เลยได้ร่วมงานกันในเรื่องร่างทรงครับ
พอได้มาร่วมงานกันแล้ว รู้สีกอย่างไรบ้าง
นาฮงจิน : ผลงานเรื่องนี้เป็นการผลิตร่วมกันระหว่างผมกับผู้กำกับบรรจง คุณบรรจงมาช่วยกำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย จริง ๆ ตัวผมเองก็ทำงานกำกับภาพยนตร์มาเหมือนกัน ผมเองก็ได้เรียนรู้มากขึ้น ผมคิดว่าการที่ได้มาร่วมงานกับผู้กำกับที่มากความสามารถ จะเรียกว่าเป็นผู้กำกับอัจฉริยะก็ได้ ซึ่งมีอิทธิพลต่อการทำงานของผมในเรื่องต่อไป ผมได้เรียนรู้อะไรมากมายจากคุณบรรจง ยิ่งพอได้ดูฟุตเทจที่ผู้กำกับส่งมา มันทำให้หัวใจผมเต้นตึกตักตลอดเลยครับ สรุปคือเป็นช่วงเวลาที่นึกถึงแล้วมีแต่ความทรงจำดี ๆ
โต้ง บรรจง : รู้สึกคุ้มค่ามากเลยครับ คุ้มตั้งแต่ยังไม่ได้ออกฉายด้วยซ้ำ เหมือนทุกอย่างที่เราได้ทำมากับเขา คือการเรียนรู้หมดเลย คือเขาละเอียดมากตั้งแต่สคริปต์ อย่างการคอมเมนต์บท ถึงขั้นต้องแยกแนบไฟล์ ออกมาสามไฟล์ เพื่อพูดในคนละแง่มุมกัน ในแง่โครงสร้าง ความสยอง ปรัชญาของหนัง ถกกันขนาดนั้นเลย รายละเอียดมันเยอะมาก ยิ่งพอเริ่มได้ถ่ายทำ แต่ละคำแนะนำของเขามันเกินกว่าเราจะจินตนาการได้จริง ๆ แบบว่าไปสุดมาก ยิ่งทำให้เรานับถือเขามากขึ้น รู้เลยว่าทำไมเขาถึงไปได้ในระดับนั้น
จริง ๆ แล้วบทภาพยนตร์เรื่องนี้มาจากทางเกาหลีที่คุณนาฮงจินส่งมาให้คุณโต้งอ่านก่อน แล้วคุณโต้งมีการหาข้อมูลอย่างไรบ้างให้มากลายเป็นร่างทรงสไตล์ไทย ๆ แบบนี้
โต้ง บรรจง : คือเขาเขียนมาเป็น treatment เป็นเรื่องย่ออย่างละเอียด 30 กว่าหน้า เป็นภาษาเกาหลีเลย ชื่อเรื่องก็เกาหลีเลย แล้วเขาก็บอกเราว่าให้เปลี่ยนเป็นไทยไปเลย เราอ่านแล้วเราไม่รู้จักทั้งร่างทรงเกาหลี ร่างทรงไทย เราเลยขอเวลาไปศึกษา ต้องทำการบ้านเยอะมาก หนึ่งคือเราอยากรู้ว่าเกาหลีเป็นยังไง ก็ดูสารคดีต่าง ๆ แต่ของไทยเราอยากไปเจอด้วยตัวเอง เราเลยไปหลายทริปมากเลย และค้นพบว่ามันมีอะไรหลาย ๆ อย่างคล้ายกันด้วย เรื่องการสืบทอดร่างทรงรุ่นสู่รุ่น เขามีอาการอะไรบางอย่างที่คล้ายกัน ซึ่งตอนที่เจอก็เลยคิดว่า มิน่าล่ะ เขาถึงติดต่อเรา มันมีอะไรบางอย่างที่เชื่อมโยงกันได้
หนังเรื่อง ‘The Wailing’ (ภาพยนตร์เกาหลี กำกับโดย นาฮงจิน) มีอิทธิพลต่อหนังเรื่องร่างทรงอย่างไรบ้าง และทั้ง 2 เรื่องมีความเหมือนหรือความต่างกันอย่างไร
นาฮงจิน : เริ่มแรกผมคิดว่าจะทำเป็นเหมือน Spin-off ของเรื่อง The Wailing ผมก็เลยนั่งคิดคนเดียว แล้วก็ปรึกษากับทีมเพื่อเขียนผลงานออกมา แม้ว่าสไตล์อาจจะต่างจากเรื่อง The Wailing แต่คิดว่าเป็นผลงานที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกันครับ แต่ว่าหลังจากส่งไม้ต่อให้ผู้กำกับบรรจงไปแล้วก็เป็นเรื่องที่ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิงครับ ฉะนั้นเรื่องร่างทรง ก็เป็นเรื่องที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับเรื่อง The Wailing เลยครับ
โต้ง บรรจง : ผมว่า The Wailing มีอิทธิพลต่อหนังแน่ ๆ ครับ แต่ว่าตอนทำหนังร่างทรง เราไม่ได้คิดว่าจะสืบทอด หรือจะต่อยอดเป็นภาค 2 จากเรื่อง The Wailing แน่ ๆ เพราะด้วยตัวเรื่องร่างทรง มันมีดราม่าของตัวมันเอง และด้วยความที่เรื่องราวเกิดขึ้นในประเทศไทย ผมว่ามันมีเอกลักษณ์ในแบบของเราแน่นอน ถึงแม้ความเชื่อมโยงบางอย่าง เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านต่างจังหวัดเล็ก ๆ และมีเรื่องร่างทรง ความเชื่อ มันคล้ายกันแบบนี้แหละครับ แต่สไตล์การถ่ายทำ ความเข้มข้นในอีกแบบนึง มันคนละรสชาติเลยครับ
ในเรื่องร่างทรง คุณนาฮงจิน มีส่วนร่วมมากน้อยแค่ไหน และมีส่วนร่วมในเรื่องใดบ้าง
นาฮงจิน : ผมก็พยายามจะซัพพอร์ททางผู้กำกับบรรจงให้ได้มากที่สุดครับ สิ่งที่ผู้กำกับต้องการที่จะทำและเสนอมา ผมก็พร้อมจะช่วยเหลือในส่วนนั้น ส่วนใหญ่จะให้ทางผู้กำกับบรรจงทำเองทั้งหมดครับ แต่ผมจะมีหน้าที่คอยดูแลแนวทาง และซัพพอร์ต เรื่องที่ยาก ๆ
คุณโต้งคิดว่าจุดที่น่าสนใจของหนังร่างทรง ที่น่าจะแตกต่างจากหนังไทยในเรื่องอื่น ๆ ในแนวนี้คืออะไร
โต้ง บรรจง : ผมว่าเป็นรสชาติที่ค่อนข้างแปลกใหม่ อย่างแรกคือมันไม่ใช่หนังผีที่เป็นคนตายแล้วกลับมาหลอก เป็นนิยามใหม่ของหนังสยองขวัญเหมือนกัน เราได้นำความเชื่อของคนอีสานที่ว่า ผีมีอยู่ในทุกสิ่งทุกอย่าง ต้นไม้ ใบหญ้า สัตว์ หรือผู้คนมีหมดเลย และมันเชื่อมโยงกับสิ่งที่เข้ามาอยู่ในตัวมิ้งว่ามันคืออะไรกันแน่ ความน่ากลัวของเรื่องนี้คือปริศนาอีกแบบหนึ่ง ไม่ใช่ผีออกมาหลอกไปมา ผมว่าแค่อันนี้ก็เป็นมิติใหม่ที่ดึงดูด ให้ผมอยากทำเรื่องนี้
คุณนาฮงจิน คิดว่าหนังเรื่องนี้แตกต่างจากหนังไทยเรื่องอื่น ๆ อย่างไรบ้าง
นาฮงจิน : หนังเรื่องนี้ผมวางแผนสร้างขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์ความเป็น international ทั่วโลก ไม่ใช่แค่เป็นหนังไทยหรือหนังเกาหลี และถ้าจะให้พูดถึงหนังเรื่องนี้มันไม่ได้มีขั้นตอนอะไรที่มากมาย ความสำคัญอยู่ที่ตัวคน ตัวแสดงเลยครับ เป็นความรู้สึกเหมือนการไม่ใช้อุปกรณ์เสริมใดแต่สรรสร้างทุกอย่างด้วยมือเปล่า เป็นหนังที่ให้ความรู้สึกแบบนั้นครับ พอคิดถึงหนังเรื่องอื่นๆ แนวนี้ ก็ทำให้คิดว่าจะมีหนังเรื่องไหนที่ใส่ความเป็นอาร์ตได้เหมือนเรื่องนี้ไหมนะ เรื่องนี้ก็เหมือนผลงานชั้นยอดชิ้นหนึ่งที่เป็นที่น่าจดจำ เป็นหนังที่จะถูกพูดถึงในวงการหนังสยองต่อไปอย่างแน่นอน และจะถูกพูดถึงไม่ว่าเมื่อไรก็ตามครับ
หลังจากเรื่องนี้มีโปรเจกต์ไหนที่อยากทำ หรืออยากจะไปร่วมงานกับประเทศไหนอีกหรือไม่
นาฮงจิน : ผมอยากไปถ่ายหนังในประเทศไทยครับ อยากจะลองสลับหน้าที่กันดูแล้วให้คุณบรรจงมาช่วย Producing หนังให้สักครั้งหนึ่งครับ ถ้าได้ไปถ่ายทำหนังในประเทศไทยก็คงจะดีมากเลยครับ
สำหรับทั้ง 2 ท่านแล้ว คิดว่าหนังผีไทยกับเกาหลีแตกต่างกันอย่างไร
นาฮงจิน : สำหรับหนังสยองขวัญของเกาหลี หนังเรื่อง tales of two sister ที่กำกับโดย คิมจีอุน น่าจะ 10 กว่าปีได้ ตลอด 10 ปีที่ผ่านมาน่าจะยังไม่มีหนังสยองขวัญเรื่องไหนมาทำลายสถิติได้เลย ในประเทศเกาหลีหนังแนวสยองขวัญไม่ค่อยได้รับความสนใจเท่าไหร่ ผมคิดว่าหนังสยองขวัญของไทย เป็นหนังที่มีคุณภาพเป็นอันดับต้น ๆ เลยครับ ครั้งนี้ผมเองก็ได้ร่วมงานกับผู้กำกับและทีมงานคนไทยด้วยตัวเอง เป็นจริงสมคำร่ำลือ และหนังสยองขวัญของไทยมีความสมจริง เลยน่าจะไปได้ไกลเป็นอันดับท็อป ๆ ในตลาดโลก และหากต้องเปรียบเทียบกันจริง ๆ หนังเกาหลีเองก็ต้องพยายามมากขึ้นไปอีกครับ
โต้ง บรรจง : ในมุมมองของผมคล้าย ๆ กับที่คุณนาฮงจินนบอก หนังผีเกาหลียุคหลัง ๆ น้อยลงนะครับในความรู้สึกของผม มันเหมือนมีทริลเลอร์เยอะกว่า หนังผีก็มีบ้าง แต่เรื่องที่มาถึงเราให้ได้ดูมันมีน้อย แต่ไทยหนังสยองขวัญก็มีอยู่บ้าง และหนังไทยแนวสยองขวัญก็มีถูกพูดถึงอยู่บ้างในนานาชาติ ผมรู้สึกว่ามันเป็นการผสมที่แปลกดีที่เขามาทำร่วมกันในครั้งนี้
หลายคนมองว่า ร่างทรง คือ The Wailing ในฉบับภาคไทย คุณนาฮงจิน มีความรู้สึกอย่างไรบ้าง
นาฮงจิน : ร่างทรงก็ต้องดีกว่า The Wailing อยู่แล้วครับ หากผู้ชมคนไทยที่เคยชมเรื่อง The Wailing ผมเป็นคนกำกับเรื่องนั้นเองครับ เรื่องร่างทรงมีความเป็นศิลปะมากกว่า มีความหมายและน่ากลัวกว่าเรื่องนั้นครับ ทุกคนอย่านำมาเปรียบเทียบกันเลยครับ
โต้ง บรรจง : จริง ๆ ไม่กล้าไปเทียบเขาเลยครับ เพราะหนังเขาคลาสสิกแล้ว ผมว่าเป็นอีกรสชาติหนึ่งมากกว่า เป้าหมายที่คล้ายกันอย่างหนึ่งคือเป็นหนังที่มีบรรยากาศเฉพาะตัวสุด ๆ เหมือนกัน
องค์ประกอบไหนของเรื่องร่างทรงที่โดดเด่นที่สุดในมุมมองของคนทำหนังเกาหลี
นาฮงจิน : ในโลกปัจจุบันที่เราอยู่ เป็นโลกที่เปี่ยมไปด้วยโชคชะตา ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้น พวกเราเองก็ยังเชื่อในเทพเจ้าอยู่ครับ และในภาพยนตร์เรื่องร่างทรงก็เล่าย้อนไปถึงในครั้งสมัยก่อนว่าเทพคืออะไร ความเชื่อคืออะไร และพยายามจะเล่าเรื่องเหล่านั้นออกมา ผมว่าจุดเด่นของหนังเรื่องนี้คือความเสมือนจริงในการถ่ายทำ และเป็นเรื่องราวที่อยากจะนำมาเสนอมานานแล้ว เรื่องความเชื่อ เรื่องเทพ เรื่องผี เรื่องร่างทรง เป็นหนังที่ยังไม่เคยมีใครทำแบบนี้มาก่อน มันเลยกลายเป็นจุดเด่น และความแปลกใหม่
โต้ง บรรจง : ผมว่าจุดเด่นคือสไตล์ที่เราเลือกด้วยแหละครับ การที่เราดีเทลมาก ๆ เรื่องการสืบทอดสายเลือดร่างทรง ซึ่งผมเองก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีการสืบทอดเป็นครอบครัว และพอมีโครงเรื่องมาแบบนี้ ทำให้เราก็มาคิดเพิ่ม ได้ไปเจอนั่นเจอนี่ ก็เลยสนใจ
ในมุมมองคุณโต้งเบลนด์ความเป็นไทย และความเป็นเกาหลีอย่างไร
โต้ง บรรจง : ผมว่ามีอะไรบางอย่างที่อาจจะไม่คุ้นเคยกับขนบคนดูหนังไทยไปบ้าง ส่วนตัวผมไม่คิดเลยว่าจะเป็นหนังไทยหรือเกาหลี ผมคิดว่าเรากำลังสร้างบางอย่างที่เหมาะกับเรื่องนี้จริง ๆ คือทุกอย่างที่เกิดในหนัง มันเกิดจากการที่เราปูเรื่องไว้หมดแล้ว ซึ่งมันอาจจะเป็นรายละเอียดที่คุณนาฮงจิน บอกผมเองแหละ ว่าหนังเรื่องนี้ อยากให้คนดูค่อย ๆ ประติดประต่อด้วยตัวเอง สิ่งที่เกิดในหนังเราบอกไว้หมดแล้ว เพียงแต่อาจจะไม่ได้บอกตรง ๆ แต่คุณต้องไปดูเองว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้ บางรสชาติอย่างผมว่ามันเป็นความแปลกใหม่ของหนังไทยเหมือนกัน ซึ่งตัวผมเองตื่นเต้นที่จะได้ทำ และเป็นหนังที่ผมอยากให้ผู้ชมได้ดูในโรงภาพยนตร์
ฝากอะไรถึงผู้ชมชาวไทยหน่อย
โต้ง บรรจง : ผมว่าที่ผมและคุณนาฮงจินรวมพลังกัน มันจะได้ผลเต็ม 100 ต้องโรงหนังเท่านั้นเลยครับ ตั้งแต่การคิดภาพใส่ภาพลงไป เราอยากให้มันเป็นหนังผีที่บรรยากาศเด่นมาก ๆ มันเป็นเนื้อเดียวกับตัวเรื่องเลย และเสียงต่าง ๆ ตอนมิกซ์ก็มีการใช้ไอเดียเยอะมากในวิธีการมิกซ์เสียง ซึ่งถ้าดูในคอมฯหรือมือถือพลังมันหายไปเลย 70%-80% ผมว่าในโรงมันมีพลังที่สุด อยากให้ได้ดูในจอใหญ่กันครับ
ภาพยนตร์สยองขวัญเรื่อง “ร่างทรง” เตรียมเข้าร่าง พร้อมเข้าโรง 28 ตุลาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์
รับชมตัวอย่างภาพยนตร์เรื่อง ร่างทรง ได้ที่คลิปด้านล่างนี้
ติดตามข่าวสารและสิ่งที่น่าสนใจจากเราได้ที่
Facebook Fanpage : facebook.com/korseries
Twitter : twitter.com/korseries
Website : korseries.com
Youtube : Korseries
ขอความกรุณาไม่คัดลอก-ดัดแปลงบทความไปโพสต์ลงในเพจ-สำนักข่าวอื่น รวมถึงไม่นำบทความไปอ่านลง YouTube หรือแพลตฟอร์มใด ๆ โปรดช่วยแชร์เป็นลิ้งก์นะคะ ♡
Photo Courtesy of GDH