รีวิวซีรีส์ : Thirty But Seventeen / Still 17
การรีวิว Thirty But Seventeen เริ่มต้นมาจากการที่ได้มีโอกาสอ่านข่าวว่าซีรีส์เรื่องนี้เปิดตัวด้วยเรตติ้งสูงถึง 5.7% ซึ่งถ้าหากพูดถึงซีรีส์ช่องหลัก (KBS, MBC, SBS) ของเกาหลีใต้ในช่วงนี้ฟอร์มค่อนข้างจะตกอยู่ไม่น้อยเมื่อเทียบกับซีรีส์จากช่องเคเบิ้ล (tvN, JTBC, OCN) ที่ได้รับความนิยมจนทำเรตติ้งสูงถึง 2 หลักเป็นว่าเล่น สำหรับซีรีส์แนวโรแมนติกคอมเมดี้เรื่องนี้ที่พล็อตเรื่องไม่ได้โดดเด่นอะไรมากนัก บวกกับนักแสดงหลักก็ยังเป็นระดับดาวรุ่งที่เพิ่งเริ่มมีชื่อเสียงในวงการบันเทิง พอได้ดูบอกเลยว่า “ดีเกินคาด” เรียกว่าไม่ธรรมดาเลยทีเดียว
เวลาไม่เพียงแต่ผ่านไปเร็วเท่านั้น แต่เรายังไม่อาจเรียกมันคืนมาได้ นั่นแหล่ะคือสิ่งที่เราเรียกว่า … เวลา
เจนนิเฟอร์ กล่าวไว้ในตอนที่ 15
หลังจากที่ได้ชมจบแบบรวดเดียว ขอจัดประเภทซีรีส์เรื่องนี้ว่าเป็น ซีรีส์ออร์แกนิค หรือ แนวปลอดสารพิษ อีกเรื่อง ผู้ชมสามารถนั่งชมพร้อมกันทั้งครอบครัวไม่มีพิษไม่มีภัย การดำเนินเรื่องก็ย่อยง่ายไม่ซับซ้อนไม่ปวดหัวและแถมยังสนุกมากอีกด้วยขอยกความดีความชอบให้กับ ผู้กำกับโจซูวอน ที่ทำหน้าที่กำกับเรื่องนี้ เคยผ่านการกำกับ I Can Hear Your Voice, Pinocchio , The Time We Were Not In Love, Gogh, The Starry Night และอีกมากมาย ซึ่งการกำกับเรื่องนี้ถือเป็นแนวถนัดก็สามารถพูดได้ และจุดที่ขอชื่นชมและทำได้ดีของซีรีส์เรื่องนี้เลยคือ ความฉลาดในการเรียบเรียงเรื่องราวให้เพลิดเพลินได้ตลอดเรื่องอย่างแรงดีไม่มีตกของ นักเขียนบทโจซองฮี ที่เคยผ่านงานเขียนจากละครโรแมนติกคอมเมดี้ชื่อดัง She Was Pretty ผสมผสานกับความสามารถของทีมนักแสดงทั้งหมดที่ทำให้เรื่องราวน่ารักธรรมดาๆเรื่องหนึ่งกลายเป็นเรื่องที่ไปจุดประกายวิบวับอยู่ในใจของผู้ชมได้อีกหลายคน
เรื่องราวในอดีตมันเปลี่ยนแปลงไม่ได้หรอก ถ้าย้อนกลับไปแล้วเสียใจก็จะเป็นเราที่เสียใจและติดอยู่กับอดีตเพียงคนเดียว แต่ตอนนี้เราเปลี่ยนทุกอย่างได้แล้ว ตอนนี้อยากจะทำอะไรก็ได้แล้ว เราจึงไม่ควรจะมองย้อนกลับไปให้เสียเวลา
อูซอรี กล่าวให้กำลังใจตัวเองในตอนที่ 29
ในความคิดเห็นส่วนตัว กองหน้าคนสำคัญของทีมนักแสดงที่ทำผลงานได้ดีถูกใจมากที่สุดคือ อูซอรี รับบทโดย ชินฮเยซอน เธอเพิ่งก้าวข้ามมาจากบทรองและได้มารับบทนางเอกเพียงไม่กี่เรื่อง ส่วนตัวยอมรับในฝีมือการแสดงของเธอว่าทำได้ดีมาก ถึงแม้อาจจะยังมีแฟนๆบางส่วนที่ยังติดภาพเธอจากบทตัวประกอบในอดีต แต่ถ้าลองเปิดใจจะรู้ว่าเธอถือเป็นนักแสดงฝีมือคุณภาพดีอีกคนได้เลย นอกจากบทนางเอกแล้ว ก็ยังถูกใจบทพระรอง อันฮโยซอบ ในบท ยูชาน หลานชายบ้าพลังของพระเอกที่แอบหลงรักนางเอก นักแสดงหนุ่มคนนี้สามารถแสดงให้เห็นถึงความทุ่มเทและพลังมหาศาลที่พยายามจะส่งผ่านการแสดงของเขามาถึงผู้ชมได้เป็นอย่างดี อนาคตในวงการบันเทิงของหนุ่มคนนี้ไปได้อีกไกลแน่นอน สำหรับบทพระเอก ยังเซจง ฝีมือมีการพัฒนาเมื่อเทียบกับผลงานที่ผ่านมา แต่ยังต้องการชั่วโมงบินเพื่อความแข็งแรงของการส่งอารมณ์ให้ได้ดีกว่านี้ ซึ่งบอกได้เลยว่ามีแววจะกลายเป็นอีกหนึ่งนักแสดงระดับแถวหน้าของวงการบันเทิงเกาหลีได้ไม่ยาก และบทแม่บ้านหน้าไร้อารมณ์ที่ได้ เยจีวอน มารับแสดง เธอคนนี้ขอไม่พูดถึงเพราะฝีมือมาเต็มทุกเรื่องไม่เคยทำให้ผิดหวังเลยจริงๆ
Don’t Think, Feel !!
คำพูดจาก บรูซ ลี ที่เป็นคติเตือนใจของ ยูชาน ในการใช้ชีวิตว่า ให้ใช้สัญชาตญาณและความรู้สึกมากกว่าความคิด
ซีรีส์เรื่องนี้ว่าด้วยเรื่องราวของเด็กสาววัย 17 ปี คนหนึ่งที่ดูเหมือนอนาคตของเธอกำลังจะไปได้สวย แต่จู่ๆเกิดอุบัติเหตุจนทำให้เธอกลายเป็นเจ้าหญิงนิทรานานถึง 13 ปี และเมื่อฟื้นขึ้นมาอีกทีเธอกลับเป็นผู้หญิงวัย 30 ปีเสียแล้ว
โครงเรื่องส่วนใหญ่จะเล่าถึงการใช้ชีวิตและการตามหาความจริงหลังจากที่เธอฟื้นขึ้นมาจาก การนอนเป็นผัก อยู่บนเตียงในโรงพยาบาลนานถึง 13 ปี จุดที่น่าคิดอย่างหนึ่งคือในตอนที่ 15 อูซอรี กับใบหน้าอันเศร้าสร้อยที่มองไปที่นักเรียนกำลังใช้เวลาในวัยของตัวเองอย่างสนุกสนานพร้อมกับพึมพำกับตัวเองว่า อยากได้เวลาเหล่านั้นคืนมาบ้าง … แล้วกับพวกเราล่ะที่มีเวลาครบทุกช่วงของชีวิต ใช้เวลาที่มีอยู่อย่างจำกัดนี้ได้คุ้มค่าและเต็มที่แล้วหรือยัง ถ้าหากว่าไม่แน่ใจ แค่เริ่มจากตอนนี้ เวลานี้ และต่อแต่นี้ไป ทำทุกวินาทีให้คุ้มค่าและดีที่สุด จะได้ไม่มาเสียใจทีหลังนะคะ ^^
หากเรารู้ว่าเรามีอะไร เราก็จะรู้ว่าเราต้องทิ้งอะไร
คำพูดจาก จูลี มอร์เกนสเติร์น กล่าวโดย เจนนิเฟอร์ ในตอนที่ 29
ขอกล่าวถึงคำหนึ่งในซีรีส์ที่ อูซอรี มักจะพูดคือคำว่า อินเตอร์มิชชั่น (Intermission) แปลว่า ช่วงระยะหยุดพัก ซึ่งหากใช้ในการแสดงดนตรีคลาสสิคแล้วคือการพักเบรคเพื่อเปลี่ยนเพลงหรือเปลี่ยนการแสดงต่อไป ในวันที่เธอท้อแท้กับการใช้ชีวิตเพื่อที่จะก้าวข้ามช่วงเวลายากลำบากไปให้ได้ เธอพยายามคิดบวกและบอกกับตัวเองว่า ถือว่าเธอได้อยู่ในช่วงอินเตอร์มิชชั่น และหลังจากนี้ก็สู้ให้เต็มที่กับก้าวที่จะเดินต่อไป บางทีการหยุดพักก็ทำให้เราสู้ต่อได้อย่างมีกำลังกายและกำลังใจที่แข็งแรงขึ้นได้จริงๆ
สิ่งเดียวที่เยียวยาความเจ็บปวดได้คือ การกระทำ
คำพูดจาก จี เอช ลูอิส กล่าวโดย เจนนิเฟอร์ ในตอนที่ 31
และอีกคำที่ อูซอรี มักจะใช้เรียกแทนถึงหนุ่มที่เธอแอบชอบคือคำว่า เครสเซนโด้ (Crescendo) แปลว่า เสียงดังขึ้นโดยลำดับ ซึ่งหมายถึงเวลาที่เธอแอบชอบใครคนหนึ่ง หัวใจของเธอจะเต้นแรงขึ้นๆไปเรื่อยๆตามลำดับ เปรียบเสมือนกับซีรีส์เรื่องนี้ที่สามารถเล่าเรื่องให้ผู้ชมเชื่อได้มากขึ้นเรื่อยๆหลังจากที่ได้ดูตอนแล้วตอนเล่า เพราะเรื่องราวที่ถึงแม้จะมีความเป็นละครอยู่มากแต่ถูกถ่ายทอดโดยการแสดงที่ทำให้ผู้ชมเชื่อและคล้อยตามได้ บวกกับความสนุกของเรื่องราวที่เล่ามาอย่างไม่หยุดหย่อน ซีรีส์โรแมนติกคอมเมดี้อีกเรื่องที่จะทำให้ผู้ชมได้รับรู้ว่า ช่วงเวลาทุกนาทีมันมีค่าแค่ไหน จงทำให้เต็มที่ให้กับทุกอย่างที่ทำ เพราะ “เวลา” ของทุกคนยังไม่ได้หายไปเหมือนกับ อูซอรี …..
และถึงแม้ว่า กงอูจิน จะไม่ได้นอนเป็นเจ้าหญิงนิทราเหมือนอูซอรี แต่เขาก็เป็นอีกคนที่ติดอยู่ในห้วงเวลาในอดีตเมื่อตอนอายุ 17 เช่นเดียวกันกับเธอ หลังจากที่เขาพบกับเหตุการณ์สะเทือนใจ เขากลายเป็นคนปิดกั้นตัวเองจากโลกภายนอกมาโดยตลอด ก็เหมือนกับการที่เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าห้องนอนของเขาสามารถเปิดหน้าต่างบานนี้ออกมาสูดอากาศรับความสดชื่นจากภายนอกได้ จนกระทั่ง อูซอรี เป็นคนเปิดหน้าต่างในใจของเขาออกได้สักที
สามารถอ่านเรื่องย่อและรายละเอียดตัวละครได้ตามลิงก์ด้านล่างนี้
http://www.korseries.com/synopsis-thirty-but-seventeen-2018/
สามารถรับชมซับไทย Thirty But Seventeen ครบทุกตอนได้แล้วที่ VIU
ติดตามข่าวสารจากเราได้ที่
Facebook Fanpage : facebook.com/korseries
Twitter : twitter.com/korseries
Website : korseries.com
Photo Credit (1)