“คนก็คือปีศาจนั่นแหละ”
The Uncanny Counter เป็นซีรีส์ที่จะทำให้เราตั้งคำถามว่าแท้จริงแล้ว ‘ปีศาจ’ ถือกำเกิดขึ้นมาจากอะไร แล้ว ‘มนุษย์’ เป็นต้นกำเนิดของปีศาจร้ายจริงหรือไม่ ผ่านการสืบสวนสอบสวนปัญหาการเมืองท้องถิ่นที่ลงลึกถึงแก่น และการตีความนรก – สวรรค์แบบใหม่ที่มีฮีโร่สไตล์เกาหลีที่ถูกเรียกว่า เคาน์เตอร์ กลุ่มคนต่างเพศ ต่างอายุ ต่างที่มา ต่างปมหลัง ที่ได้รับโอกาสให้ได้ใช้ชีวิตที่ 2 เพื่อตามจับปีศาจที่หลบหนีออกมาจากปรโลกและเข้าสิงสู่มนุษย์
ซีรีส์เรื่องนี้บอกเล่าเรื่องราวของกลุ่มนักล่าปีศาจที่เรียกตัวเองว่า ‘เคาน์เตอร์’ พวกเขาได้รับหน้าที่มาจากปรโลกให้ทำงานคล้ายกับยมทูตที่ไล่ล่าตามจับปีศาจร้ายที่หลบหนีออกมาอยู่ในโลกมนุษย์ โดยเปิดร้านบะหมี่ ‘ออนนี่’ ที่อร่อยจนคนต่อแถวยาวเหยียดเป็นที่บังหน้าและเป็นศูนย์บัญชาการ ซึ่งคนที่จะสามารถเป็นเคาน์เตอร์ได้จะต้องผ่านช่วงเวลาโคม่าใกล้ตายมาก่อน เพื่อให้ร่างกายสามารถรองรับให้คู่หูยมทูตเข้าไปสิงสู่ภายในร่างได้ ซึ่งคู่หูยมทูตที่เข้าไปสิงสู่ก็จะมีตัวตนที่แตกต่างกันออกไป พลังของแต่ละคนก็จะแตกต่างกันไปตามลักษณะนิสัย และการฝึกฝนด้วย
โดยเคาน์เตอร์จะมีพละกำลังมากกว่ามนุษย์ทั่วไปถึง 3 เท่า!! สามารถตรวจจับปีศาจได้ในระยะทางหลายกิโลเมตรในช่วงที่ปีศาจเหยียบเข้าไปในพื้นที่ที่เปิดออก และสามารถอ่านความทรงจำเมื่อโดนตัวทั้งคนและปีศาจได้บางส่วน นอกจากนี้ยังมีเวลาที่ร่างกายของเคาน์เตอร์สามารถเพิ่มพลังได้มากถึง 5 เท่าคือเวลาที่ ‘พื้นที่ของยุง’ เปิดออก ซึ่งพื้นที่จะเปิดออกก็ต่อเมื่อพลังของสวรรค์และโลกมนุษย์ประสานกันจนทำให้เกิดคลื่น จะมีเพียงเคาน์เตอร์เท่านั้นที่จะมองเห็น พื้นที่ของยุงนั้นจะมีลักษณะเป็นเหมือนแสงเลเซอร์ที่ถูกยิงขึ้นมาจากพื้น โดยพวกเขาจะไม่สามารถรู้ได้ว่าพื้นที่จะเปิดออกเมื่อไหร่และนานแค่ไหน
ถึงแม้พล็อตแนวฮีโร่มีพลังวิเศษจะไม่ได้เป็นแนวที่แปลกใหม่แหวกแนวเท่าไหร่นัก แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความสนุกของซีรีส์เรื่องนี้ลดน้อยลงไปเลยแม้แต่นิดเดียว พลังวิเศษของแต่ละคนจะขึ้นอยู่กับการฝึกฝนตัวเองอย่างหนัก เพราะถึงแม้จะมีพละกำลังมากกว่ามนุษย์ทั่วไปมากถึง 3 เท่า หรือมีความสามารถในการลบหรือมองเห็นควาามทรงจำ แต่ก็ไม่ได้ทำให้พวกเคาน์เตอร์เป็นต่อพวกปีศาจมากเท่าไหร่ ทำให้ฉากบู๊สนุกมากในทุกครั้งที่ตามจับปีศาจ เรียกได้ว่าบู๊แหลกอย่างกับดูภาพยนต์แอคชั่นเลยแหละ เพราะเหล่าเคาน์เตอร์ต้องงัดทุกอย่างขึ้นมาเพื่อให้ชนะปีศาจให้ได้ โดยเฉพาะปีศาจชีช็องชินปีศาจระดับ 3 ที่แข็งแกร่งมากที่สุดที่เหล่าเคาน์เตอร์เคยเจอ
การตีแผ่ปัญหาการเมืองท้องถิ่นที่ลึกถึงแก่น
ถึงแม้จะเป็นซีรีส์สายฮีโร่ที่มีความคอมเมดี้ ความการ์ตูนเข้ามาผสม แต่พาร์ทสืบสวนสอบสวนกลับยังคงความเข้มข้นไว้ได้อย่างคงเส้นคงวา เรื่องนี้สามารถตีแผ่ปัญหาการเมืองท้องถิ่นได้ลึกถึงแก่นมาก ทั้งการใช้อำนาจเงินในการกรุยทางให้ไต่ขึ้นไปสู่การเมืองระดับประเทศ การฟอกเงินผ่านการกินรวบธุรกิจ การทำธุรกิจบนความทุกข์ยากของประชาชน การติดสินบนตำรวจเพื่อปกปิดและบิดเบือน การตามฆ่าคนที่รู้เรื่องอย่างกับเป็นผักปลาที่จะฆ่าตอนไหนก็ได้ แต่ละอย่างมันทำให้คนดูอย่างเราตั้งคำถามว่า อะไรคือตัวแยกระหว่างมนุษย์ และ ปีศาจ และมนุษย์หรือปีศาจที่น่ากลัวกว่ากัน ? ยิ่งตอนเพิ่มมากขึ้นเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งเห็นความดำมืดในจิตใจมนุษย์มากขึ้นเท่านั้น ซึ่งที่ไม่ต่างอะไรกับปีศาจที่เต็มไปด้วยความโลภและกิเลสที่มีต่ออำนาจเงินทองเลยแม้แต่นิดเดียว
ฮีโร่ที่จับต้องได้เพราะพวกเขาไม่ได้ ‘สมบูรณ์ไร้ที่ติ’
แก๊งค์เคาน์เตอร์ที่ประกอบไปด้วยโทฮานา (รับบทโดย คิมเซจอง) หญิงสาวผู้มีปมหนักในใจกับการที่ต้องเสียครอบครัวไปต่อหน้าต่อตา ทำให้เธอหลีกเลี่ยงการโดนสัมผัสตัวจากคนอื่นๆเพราะไม่อยากให้ใครเห็นความทรงจำที่แสนเจ็บปวดของเธอ พลังอ่านความทรงจำของเธอจึงเป็นเหมือนสัญลักษณ์สื่อให้เห็นถึง การยึดติดอยู่กับอดีต ของเธอที่เธอยังไม่สามารถที่จะก้าวผ่านอดีตที่โหดร้ายนั้นไปได้และยังคงโทษตัวเองอยู่เรื่อยมา คุณชูหรือชูมันอ๊ค (รับบทโดย ยอมฮเยรัน) คุณป้าสุดใจดีผู้เป็นเหมือนเสาหลักจิตใจของทีม แต่ปมหลังของเธอกลับเต็มไปด้วยความเศร้าที่ต้องเห็นลูกชายตายไปต่อหน้าต่อตา พลังรักษาที่เธอมีจึงเป็นเหมือนสัญลักษณ์สื่อให้เห็นถึง ความเป็นแม่ ที่พร้อมจะสละชีวิตของตัวเองเพื่อต่อชีวิตให้กับคนเป็นลูก เป็นตัวละครที่ไม่ว่าจะออกมาฉากไหนฉากนั้นจะอบอุ่นขึ้นราวกับเสกได้และยังสามารถเรียกน้ำตาได้มากที่สุดจากทุกตัวละครอีกด้วย
กาโมทัก (รับบทโดย ยูจุนซัง) อดีตตำรวจสายสืบที่ต้องนอนโคม่าจากการไล่ล่าของกลุ่มผู้มีอิทธิพลจนเขาต้องสูญเสียความทรงจำ เป็นตัวละครที่เหมือนคนเขียนบทไม่รักเพราะมรสุมในชีวิตเยอะมาก ทั้งในอดีตและในปัจจุบัน ความสุขถูกพรากไปจากเขาหลายต่อหลายครั้ง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังอยากจะมีชีวิตต่อไปเพื่อไม่ให้ชีวิตของคนที่จบลงต้องเสียเปล่า พลังความแข็งแกร่งที่เขามีจึงเป็นเหมือนสัญลักษณ์สื่อให้เห็นถึง จิตใจที่แสนจะเข้มแข็ง ของเขาที่ไม่ว่าจะเจอกับปัญหาอะไรเขาก็จะสามารถผ่านมันไปได้ ชเวชังมุล (รับบทโดย อันซอกฮวาน) เคาน์เตอร์คนแรกของเกาหลี มหาเศรษฐีเจ้าของธุรกิจค้าปลีกที่รวยติดอันดับของเกาหลี เขานั่นก่อนที่จะมาเป็นเคาน์เตอร์เขาเคยเป็นคนที่ทำนาบนหลังคน เป็นนักธุรกิจที่ไม่เคยเห็นหัวใครมาก่อน แต่พอได้มาเป็นเคาน์เตอร์เขาก็เปลี่ยนความคิดไปอย่างสิ้นเชิง และคอยเป็นคนดูแลค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการปฎิบัติงานของเคาน์เตอร์ โดยไม่ต้องลงสนามเพราะตัวของเขานั่นปลดเกษียณแล้วนั่นเอง
และสมาชิกคนสุดท้าย โซมุน (รับบทโดย โจบยองกยู) เด็กมัธยมปลายที่ขาพิการจากอุบัติเหตุที่พรากชีวิตพ่อแม่เขาไปในวัยเด็ก ด้วยความที่เป็นเด็กขาพิการมาตลอดชีวิต แต่อยู่ๆก็ได้รับพลังมาแบบงงๆ ทำให้อะไรหลายๆอย่างสำหรับโซมุนจึงเป็นเรื่องใหม่มากๆ แม้กระทั่งเรื่องเดินให้เหมือนคนปกติ ทำให้เขากลายเป็นตัวละครที่มีพัฒนาการในตัวเองหลายอย่าง จากเด็กที่มุทะลุและมักจะทำตามใจตัวเอง ก็เริ่มกลายมาเป็นเด็กที่รู้จักจะพึ่งพิงเพื่อนร่วมทีม รู้จักถอยและรู้จักรุก จนทำให้สุดท้ายเขาก็กลายมาเป็นอาวุธที่โหดที่สุดของทีมด้วยพลังที่ล้นเหลือของเขา
ฉากแอคชั่นสุดมันส์ที่ผสมผสานมุมกล้องแปลกใหม่
ด้วยความเป็นซีรีส์ที่ต้องไล่ล่าปีศาจทั้งเรื่อง ฉากบู๊จึงไม่มีไปไม่ได้! เรื่องนี้ฉากบู๊แอคชั่นจัดเต็มมากกก ยิ่งตอนนักแสดงวิ่งไล่กันข้ามตึก หรือวิ่งไล่จับกันนี่ ดูจนเหนื่อยแทน นักแสดงทุกคนทำออกมาได้ดีมาก ถึงแม้ตอนข้ามตึกหรือตอนกระโดดตัวลอยจะดูไม่เนียนไปหน่อยก็ตาม ฉากแอคชั่นเรื่องนี้ต้องยกนิ้วให้เซจองเลยจริงๆ เธอสามารถก้าวข้ามคำว่าไอดอลนักแสดงที่ผู้คนจับตาดูไปได้อย่างสวยงาม คิวบู๊ของเธอลื่นไหลและสวยงามมาก โจบยองกยูก็เล่นได้เข้ากับบทสุดๆ ทางบู๊คงเป็นทางที่เหมาะกับบยองกูด้วยเพราะตัวเขาก็มีฉากที่โด่งดังจนเป็นที่พูดถึงไปทั่วจากฉากต่อสู้ 1 – 20 ด้วยปากกาเพียงแท่งเดียว จากภาพยนต์ออนไลน์เรื่อง Dokgo Rewind
นอกจากนี้งานภาพ งานมุมกล้องก็จัดเต็มมากกก มีการใส่ความเป็นการ์ตูนลงไปในบางฉากซึ่งมันทั้งดูว้าว และดูน่ารักไปพร้อมๆกัน บางฉากก็มีการใช้มุมกล้องแบบ FPS (First person shooter) หรือ มุมมองบุคคลที่หนึ่งที่เรามักจะเห็นในเกมประเภท Shooting ด้วยทำให้คนดูเหมือนถูกดึงเข้าไปอยู่ในสถานการณ์เดียวกับที่ตัวละครกำลังเจอ เหมือนเรากำลังร่วมต่อสู้กำจัดปีศาจไปพร้อมๆกับเคาน์เตอร์เลยก็ว่าได้ มันยิ่งทวีความอินความสนุกให้กับคนดูในอีกทางนึงได้เป็นอย่างดี
การนิยาม ‘ความสัมพันธ์’ ในหลายรูปแบบ
การวางตัวละครทั้ง 5 ตัวในแก๊งค์เคาน์เตอร์ของเรื่องนี้ต้องขอชมเลยว่าลงตัวและแคสต์มาดีมากๆ เคมีของทั้ง 5 คนมันเข้ากันได้ดีและกลมกล่อมอูมามิสุดๆ ทุกคนในทีมคือครอบครัว คือคนที่พร้อมจะเสียสละและพลีชีพเพื่อปกป้อง พวกเขาไม่ใช่เพียงเพื่อนร่วมงานแต่พวกเขาคือครอบครัวที่ฝ่าฟันเรื่องเสี่ยงชีวิตไปด้วยกัน ช่วยเหลือกัน และโอบกอดกันและกัน ยิ่งโซมุนที่เด็กที่สุดในกลุ่มแถมยังเพิ่งเข้าทีมมาใหม่ทำให้ทุกคนนั่นโอ๋โซมุนมาก จนทำให้ออร่าความเป็นครอบครัวของทีมนี้มันเด่นชัดขึ้นไปอีก การเอาใจใส่ในเรื่องเล็กๆ หรือสายตาอบอุ่นที่มอบให้กัน มันทำให้คนดูอย่างเราโครตอินไปกับความสัมพันธ์ของกลุ่มนี้
ความสัมพันธ์แบบเพื่อน และครอบครัวเรื่องนี้ก็ไม่ปล่อยให้หลุดลอยไปง่ายๆ ทุกซีนสามารถเอาจุดนี้มาเล่นและขยี้ให้เกิดน้ำตา รอยยิ้ม และเสียงหัวเราะได้อย่างง่ายดาย จนบางฉากก็เริ่มงงว่าซีรีส์เรื่องนี้มีการลงคาถาอาคมอะไรไว้ให้เราอินไปกับมันขนาดนี้ไหมเนี้ย
ความสนุกของ The Uncanny Counter ได้ถูกการันตีออกมาเป็นสถิติที่จับต้องได้แล้ว เพราะตอนนี้ The Uncanny Counter ได้กลายเป็นซีรีส์ที่เขียนประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับช่อง OCN ได้อย่างสวยงาม การออนแอร์ในทุกตอนสามารถขึ้นเทรนด์ทวิตเตอร์ในระดับสูงๆอยู่เสมอ แถมยังขึ้นแท่นซีรีส์ช่องเคเบิ้ลอันดับที่ 16 ที่มีเรตติ้งสูงที่สุดตลอดกาล!! โดยตอนที่ 16 The uncanny counter ทำเรตติ้งพุ่งไปสูงถึง 11.0 % ทุบสถิติของตัวเองที่เคยทำไว้ในตอนที่ 12 ที่เรตติ้ง 10.6% ถือเป็นเรตติ้งที่สูงที่สุดเป็นประวัติศาสตร์ของช่อง OCN และเป็นซีรีส์ของช่อง OCN เรื่องแรกที่ทำเรตติ้งเกิน 2 หลักได้ และยังเป็นซีรีส์เรื่องแรกของช่อง OCN ที่สามารถปีนขึ้น Top20 ซีรีส์ช่องเคเบิ้ลที่มีเรตติ้งสูงสุดตลอดกาล ได้อีกด้วย!
และตอนนี้ The Uncanny Counter Season 2 ได้คอนเฟริมเป็นที่เรียบร้อยถึงแผนในการสร้างเรื่องราวต่อไป มาติดตามและตั้งตารอ Season 2 ที่กำลังจะมาถึงเร็วๆนี้กันเถอะ!🧡
บทความโดย โชว์มีเดอะซีรีส์ สามารถติดตามการวิเคราะห์เจาะลึกประเด็นต่างๆในซีรีส์และการวิเคราะห์ตอนต่อตอนได้ทางเพจ โชว์มีเดอะซีรีส์