‘Memories of Murder’ หรือในชื่อไทย ‘ฆาตกรรม ความตาย และสายฝน’ ภาพยนตร์ดราม่าอาชญากรรมในปี 2003 ที่ทำให้ชื่อของ บงจุนโฮ กระฉ่อนและเป็นที่รู้จักไปทั่วเกาหลีใต้ ผลงานที่พิสูจน์ว่าชายหนุ่มในวัยอายุเพียงรุ่นราวคราวสามสิบกว่า เมื่อช่วง 17 ปีที่แล้ว มีฝีมือการกำกับเล่าเรื่องอันคมคาย ทั้งดิบเถื่อนและงดงาม อันเป็นที่ประจักษ์ว่า บงจุนโฮ นั้นมีของดีมาแต่ไหนแต่ไร ตั้งแต่ก่อนพา Parasite (2019) ไปสู่เวทีโลกเสียอีก ซึ่งถึงแม้ว่าเวลาจะผ่านไปเนิ่นนานแล้ว นับตั้งแต่ที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกปล่อยออกมาสู่สายตาชาวโลก แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ภาพยนตร์เรื่อง Memories of Murder นี้เป็นผลงานชิ้นโบแดงของ บงจุนโฮ ที่ทรงคุณค่าเหนือกาลเวลาอย่างยิ่ง
*trigger warning : rape/violence/murder
ต้องเรียนให้ทราบก่อนว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างขึ้นจากเหตุการณ์จริงอันน่าสะพรึงกลัวที่เขย่าขวัญชาวเกาหลีใต้ มาเป็นระยะเวลา 30 กว่าปี กับคดีฆาตกรรมพ่วงด้วยการข่มขืนอุกอาจซึ่งเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในเมืองเล็ก ๆ อย่างเมืองฮวาซอง จังหวัดคยองกี ของเกาหลีใต้ เมื่อปี 1986-1991 ที่จนแล้วจนรอด ตำรวจก็ไม่สามารถจับตัวคนร้ายมาลงโทษได้ทันก่อนคดีจะหมดอายุความในปี 2006 ความเจ็บปวดรวดร้าวจากคดีนี้จึงถูกส่งต่อเป็นเรื่องราว ผ่านผลงานซีรีส์และภาพยนตร์แนวสืบสวนสอบสวนของเกาหลีอยู่หลากหลายเรื่องด้วยกัน ซึ่งรวมไปถึงผลงานมาสเตอร์พีซของ บงจุนโฮ อย่าง ‘ฆาตกรรม ความตาย และสายฝน’ หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ ‘Memories of Murder’ เรื่องนี้ด้วย
ตัวหนังได้ถ่ายทอดคดีปริศนาชวนฉงนดังกล่าว ผ่านการเล่าเรื่องด้วย นายตำรวจชนบท 2 คนอย่าง พัคดูมัน (รับบทโดย ซงคังโฮ) และ โจยงกู (รับบทโดย คิมโรฮา) ที่ได้รับมอบหมายให้ทำการสืบสวนคดี ‘ขืนใจแล้วฆ่า’ เมื่อทุ่งนาทองอร่ามอันแสนสงบ และเพลินตายิ่ง กลับกลายเป็นจุดเกิดเหตุ พบศพหญิงสาว ซึ่งมีร่องรอยการถูกล่วงละเมิดทางเพศอย่างอุกอาจ และถูกฆาตกรรมในภายหลังด้วยวิธีการสุดวิตถาร จากการถูกรัดคอจนสิ้นลมด้วยสายเสื้อชั้นใน และใช้กางเกงในปกคลุมใบหน้าของพวกเธอ ซึ่งเหตุการณ์อันน่าสะพรึงกลัวนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่รายเดียว แต่กลายเป็นคดีฆาตกรรมต่อเนื่อง ที่นับวันก็ยิ่งรุนแรงขึ้นทุกที ซอแทยุน (รับบทโดย คิมซังคยอง) เจ้าหน้าที่หัวใสจากกรุงโซล จึงเข้าร่วมมาเป็นหนึ่งในทีมล่าฆาตกรใจบาปครั้งนี้ด้วย
แต่ทว่า ทุกอย่างกลับไม่ง่ายอย่างที่คิด เมื่อตำรวจแทบไม่มีหลักฐานที่สามารถบ่งชี้และมัดตัวคนร้ายได้เลย แถมยังมีตาสัปปะรดของบรรดาสื่อทั้งหลายที่คอยจับจ้องและกดดันให้ตำรวจจับผู้ร้ายใจเหี้ยมนี้ให้ได้เสียที ความบิดเบี้ยวของกระบวนการสืบสวนจึงปรากฏออกมา เมื่อ นักสืบพัค และ นักสืบโจ พยายามหา ‘แพะรับบาป’ ด้วยการซ้อมทรมานให้ผู้บริสุทธิ์เอ่ยคำสารภาพที่ไม่มีอยู่จริงให้จบเรื่องจบราวกันไป แต่กระนั้นเองก็ถ่ายทอดความกระเสือกกระสนในการหาผู้ร้ายตัวจริงของ นักสืบซอ ผู้ยึดมั่นในเหตุผลและหลักการ
แม้ว่าหน้าหนังจะเป็นภาพยนตร์อาชญากรรมที่ถ่ายทอดประเด็นอันน่าหวาดกลัว แต่ต้องยอมรับว่าอาวุธเด็ด ซึ่งเป็นลักษณะที่ปรากฏอยู่ในหนังแทบทุกเรื่องของ บงจุนโฮ คือการสร้างบรรยากาศที่เข้าถึงง่าย และวิธีการเล่าเรื่อง ด้วยจังหวะจะโคนที่ต้องยกนิ้วให้ เพราะมันทำให้ดูสนุกไม่ใช่เล่น ยิ่งผนวกกับความบ้าบิ่นแบบดิบ ๆ (เช่น ฉากกระโดดถีบขาคู่ที่โครตจะ iconic) ความตลกโปกฮา ซึ่งแฝงไปด้วยความตลกร้ายที่บงสอดแทรกมาเรียกเสียงหัวเราะคิกคัก และเสียงหัวเราะขื่น ๆ ตลอดทั้งเรื่อง ต้องยอมรับเลยว่าเป็นอะไรที่ทั้งเฉียบขาด ทั้งคมคาย และมาเจอกับนักแสดงระดับเทพก็ยิ่งทำให้จังหวะอะไรหลาย ๆ อย่างมันลงตัวไปเสียหมด
เสียงหัวเราะที่ดังจากผู้ชมในโรงภาพยนตร์อยู่เนือง ๆ จึงดูจะเป็นอะไรที่เหมือนจะเข้ากันไม่ได้กับความรุนแรงที่ปรากฏในหนังอย่างโจ่งแจ้ง การฆาตกรรมที่ไร้ซึ่งความปราณี การเสียดสีสังคมและการเมืองที่หนักอึ้ง ซึ่งฉายชัดตลอดทั้งเรื่อง แต่ทว่า หนังกลับกลมกล่อมอย่างน่าประหลาด และนี่คงจะเป็นอีกหนึ่งจุดที่ส่งให้หนังของ บงจุนโฮ นั้น เข้าถึงผู้ชมได้เป็นวงกว้าง แบบที่คนสมัยใหม่เรียกกันว่า ‘แมส’ (หนังเรื่องนี้กวาดรายได้เป็นอันดับ 1 ใน BOX OFFICE ที่เกาหลีใต้ แซงหน้า The Matrix Reloaded ที่เข้าฉายในปีเดียวกันเสียอีก) แต่ก็เปี่ยมไปด้วยคุณภาพ งดงามไปด้วยศิลปะของการถ่ายทอดและการจัดวางอย่างปราณีต ควรค่าแก่ถูกยกขึ้นหิ้งให้เป็นอีกหนึ่งผลงานทรงคุณค่าของวงการภาพยนตร์
สิ่งที่หนังพาคนดูไปสำรวจอย่างชัดเจนคือกระบวนการทำงานของตำรวจที่เน่าเฟะ ล้าสมัย และด้อยพัฒนาในยุคนั้น เมื่อระบบระเบียบข้อเท็จจริงกลับไม่ได้ทำหน้าที่เป็นฟันเฟืองขับเคลื่อนการสืบสวนของตำรวจ แต่กลายเป็นความรุนแรงที่แลดูเหมือนจะถูกใช้อย่างชอบธรรมในการยัดเยียดข้อหา ให้กับแพะผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ อีกทั้งความรุนแรงนี้ยังไม่ได้สะท้อนอำนาจครอบงำแค่ระหว่างตำรวจกับประชาชนเท่านั้น แต่ยังเป็นสิ่งที่กลืนกินชุดความคิดและการปฏิบัติของคนในองค์กรแบบฝังรากลึก ซึ่งสะท้อนออกมาระหว่างผู้เป็นนายและตำรวจชั้นผู้น้อย ที่แม้แต่นายตำรวจบ้าดีเดือดในเรื่องนี้ก็ต้องรองมือรองเท้าผู้มีอำนาจอยู่ดี ซึ่งแน่นอนว่าจากที่กล่าวมา ประชาชนก็อยู่ล่างสุดของห่วงโซ่อาหารอย่างไม่ต้องสงสัย
โดยการหยิบโยงหลักฐานมาปะติดปะต่อกันอย่างไร้ทิศไร้ทาง ไปจนถึงการซ้อมทรมานผู้บริสุทธิ์ของ นักสืบพัค และ นักสืบโจ ก็มาจากการที่เจ้าหน้าที่ถูกสื่อกดดัน และต้องการเพียงกู้ภาพลักษณ์ของตำรวจหลังคว้าน้ำเหลวมาระยะเวลาหนึ่งเพียงเท่านั้น อีกประการที่ผู้เขียนเล็งเห็นในเรื่อง ไม่ว่าผู้สร้างจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม แต่มันคือการว่าด้วยเรื่อง บทบาทของเพศหญิงในองค์กร ที่ดูเหมือนจะถูกวางไว้ให้เป็นตัวแถม คอยชงกาแฟ ทำงานปลีกย่อยเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งหนังก็ถ่ายทอดให้เห็นว่าจริง ๆ แล้ว เธอก็มีความสามารถไม่น้อย ทั้งยังเด็ดเดี่ยว พร้อมลุย แถมยังมีหลักการเหตุผลในการสืบหาความจริงไม่แพ้ใคร และช่างสังเกตพอตัวจนได้หลักฐานชิ้นสำคัญมาได้ แต่ก็ต้องจำนนให้กับวัฒนธรรมองค์กรอันเหลื่อมล้ำคร่ำครึอย่างน่าเสียดาย
จะเห็นได้ว่า ถึงแม้ว่าหนังจะเริ่มเดินด้วยปริศนาที่ต้องการคำตอบว่า ‘ใคร’ คือคนลงมือฆ่า แต่ Memories of Murder นั้นนำพาให้เราจุดเชื้อตั้งคำถามว่า ‘ทำไม’ ผ่านการวิพากษ์วิจารณ์หน่วยงานรัฐอย่างเข้มข้น ซึ่งพื้นหลังของหนังเป็นช่วงที่สถานการณ์บ้านเมืองของเกาหลีใต้กำลังคุกกรุ่น เดือดดาลไปด้วยการต่อสู้ของเหล่านักศึกษาและคนรุ่นหลังที่ยึดมั่นในอุดมการณ์ การอยู่ในช่วงเวลาคาบเกี่ยวที่รัฐจัดลำดับให้บางอย่างสลักสำคัญไปกว่าความเป็นอยู่ของประชาชานนั้นนำมาสู่เรื่องราวน่าอดสู เมื่อค่ำคืนที่อาจจะสามารถจับตัวฆาตกรใจเหี้ยมเพื่อปิดฉากคดีอันยืดเยื้อได้ กลับหมดหวังหลังถูกปฏิเสธการขอกำลังเสริม ด้วยเหตุผลที่ว่าเจ้าหน้าที่ทั้งหมดได้ถูกยกกำลังไปปราบปรามการชุมนุมของนักศึกษาที่เมืองอื่นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เป็นฉากที่แสกหน้าฟาดเหล่าผู้มีอำนาจบาตรใหญ่อย่างจัง อันเป็นได้เห็นว่าสังคมมันบิดเบี้ยวไปขนาดไหน ซึ่ง บงจุนโฮ เคยกล่าวไว้ว่า “ผมจึงทำ Memories of Murder โดยไม่ได้สนใจคำถามที่ว่า ‘ใครคือฆาตกร’ ของคดีเหี้ยมโหดนี้ มากเท่ากับคำถามที่ว่า ‘สังคมแบบไหนกันที่ทำให้เกิดเรื่องเหี้ยมโหดเช่นนั้นขึ้นมาได้?'”
อย่างไรก็ดี ใช่ว่าจะสิ้นไร้ไม้ตอก กับความเน่าเฟะที่ดูจะไม่เหลือแกน เพราะแกนจริง ๆ ของเราที่ยังหลงเหลืออยู่คือความเป็นมนุษย์ในตัว อย่างที่ นักสืบซอ นั้นกลายเป็นความหวังของคนดูอย่างเรา ๆ เพราะตัวละครนี้ ดูเปี่ยมไปด้วยหลักการเหตุผล ยึดมั่นในความถูกต้องของระบบระเบียบ และที่สำคัญยังดูจะมีมนุษยธรรม และ empathy ต่อแพะผู้บริสุทธิ์กว่าตำรวจเลือดร้อนอีก 2 คนอยู่หน่อย
แต่ว่าก็ว่า มนุษย์เรานั้นทั้งซับซ้อนและแปรเปลี่ยนได้แบบคาดไม่ถึง เมื่อทุกอย่างยังมืดแปดด้าน ชวนสับสน ไร้ทางออกจนน่าหงุดหงิด ฟางเชือกสุดท้ายของเขาจึงขาดผึง เขาลงมือลงไม้กับผู้ต้องสงสัยเหมือนคลุ้มคลั่ง และละทิ้งแม้กระทั่งความเชื่อของตัวเองที่ว่า ‘เอกสารไม่เคยโกหก’ อย่างสิ้นหวังโกรธเกรี้ยวเต็มประดา ในอุโมงค์อันมืดมิด และท้ายที่สุด ก็ถูกกลืนกินเช่นเดียวกับนายตำรวจบ้าดีเดือดคนอื่น ๆ ที่ใช้ความรุนแรงเป็นทางออก แบบที่ตัวเองไม่เคยเป็นมาก่อน แต่ว่าก็ว่าอีกเช่นเดียวกันนั่นแหละว่า ความเป็นมนุษย์แปรเปลี่ยนกันได้ และเป็นแกนที่หลงเหลืออยู่ นักสืบพัค จึงกลับเป็นตัวละครที่หนังทำให้เราเห็นพัฒนาการบางอย่างในตัวของเขา และกลายเป็นตัวละครที่คนดูอย่างเราหวังพึ่งในช่วงท้ายเรื่อง จึงพอกล่าวได้ว่า หนังเรื่องนี้ก็ทำให้เราเห็นจิตวิญญาณด้านที่กระเสือกกระสนของตำรวจในการจับผู้ร้ายตัวจริง ขณะที่วิพากษ์วิจารณ์โครงสร้างอย่างกว้างขวางเช่นเดียวกัน
เรื่องราวทั้งหมดนี้จึงกลายเป็น ‘วันวานอันหมองหม่นซึ่งยากจะลืมเลือน’ ที่หนังเรื่องนี้ได้บันทึกเอาไว้ กลายเป็น ‘ความทรงจำ’ อันรวดร้าวซึ่งสร้างความเจ็บปวด และอาจจะเรียกได้ว่าเป็นแผลเป็นของประวัติศาสตร์ชาติเกาหลี ทั้งตัวเหตุการณ์อันน่าสลด คดีที่ยืดเยื้อ และความโสมมของสภาพแวดล้อม สังคมทุกอย่างในตอนนั้นที่มิอาจลืมได้ลง ต้องบอกว่า แววตาของ นักสืบพัค ซึ่งแสดงโดย ซงคังโฮ ในฉากจบนั้น ทรงพลังและตราตรึงอย่างมาก จนโมเมนต์ที่ดูจบแล้ว ความรู้สึกมันท่วมท้นอย่างบอกไม่ถูก
หากถามว่าหนังเรื่องนี้ให้ความรู้สึกแตกต่างกันอย่างไร เมื่อเทียบกับ Parasite ที่สร้างปรากฏการณ์เขย่าวงการหนังทั่วโลกเมื่อช่วงปีที่ผ่านมา ผู้เขียนคงไม่อาจเทียบว่าอะไรดีกว่าอะไร แต่หากจะให้เปรียบเปรย คงต้องบอกว่า Parasite อาจจะให้รสชาติที่สดใหม่ และซาบซ่านไปทั่วตัว เหมือนยกดื่ม โซจูบอมบ์ แบบตาตื่นตื่นตา แต่สำหรับ Memories of Murder คือวิสกี้รุ่นเดอะที่ยิ่งบ่มยิ่งให้รสชาติของความเก๋า และความเป็นตำนานที่แน่นอน
ต้องขอบคุณทาง Documentary Club ที่นำ Memories of Murder มาเข้าโรงภาพยนตร์ ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ที่เราจะได้มีโอกาสไปสัมผัสความงดงามของศิลปะที่ทั้งดิบเถื่อนและทั้งปราณีต แบบเบิ้ม ๆ กันผ่านระบบภาพและเสียงที่จัดหนักจัดเต็ม ซึ่งต้องขอรับรองเลยว่าเป็นผลงานภาพยนตร์ที่ควรค่าแก่การรับชมอย่างยิ่ง โดย Memories of Murder จะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ House Samyan และ Lido Connect วันที่ 30 ธันวาคม 2563 และโรงภาพยนตร์ Bangkok Screening Room เข้าฉายวันที่ 2 มกราคม 2564
บทความที่เกี่ยวข้อง
คดีฆาตกรรมต่อเนื่องฮวาซอง พบตัวผู้ต้องสงสัย หลังเวลาผ่านไปนาน 33 ปี
รีวิวภาพยนตร์ Parasite (2019) | ชนชั้นปรสิต … ผิดหรือที่มีกลิ่นสาบคนจน
ติดตามข่าวสารและสิ่งที่น่าสนใจจากเราได้ที่
Facebook Fanpage : facebook.com/korseries
Twitter : twitter.com/korseries
Website : korseries.com
Youtube : Korseries