Time to Hunt เป็นผลงานของผู้กำกับยุนซองฮยอน เจ้าของผลงานดังกวาดรางวัล เรื่อง Bleak Night (2011) ที่โดดเด่นในเนื้อหาสะท้อนการก้าวพ้นวัย (Coming-of-age) การกลับมาในปี 2020 ด้วยเรื่องราวสะท้อนการก้าวพ้นวัยอีกครั้งในโทนหนังของอาชญากรรมระทึกขวัญผสมแอคชัน ปลุกกระแสความสนใจในวงการอีกครั้ง ประกอบกับการเลือกสี่นักแสดงนำที่กำลังฮอต อีเจฮุน อันแจฮง ชเวอูชิก พัคจองมิน มาร่วมกันถ่ายทอดเรื่องราว รวมถึงเครดิตจากการได้ไปฉายเปิดตัวถึงงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเบอร์ลินของปีนี้ (70th Berlin International Film Festival) ซึ่งเป็น 1 ใน 3 งานเทศกาลภาพยนตร์ชั้นนำของโลก (อีกสองเทศกาลคือเวนิสและคานส์) แต่สำหรับการฉายสู่สาธารณชนนั้น ถูกกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19 จนทำให้ไม่สามารถเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ได้ตามแผนกำหนดเดิม สุดท้ายก็ได้ทางออกเปลี่ยนมาเผยแพร่ทาง Netflix แทน กลายเป็นปรากฏการณ์ครั้งแรกของวงการภาพยนตร์เกาหลี
**เนื้อหารีวิว มีสปอยล์บางส่วน**
.
.
.
เรื่องราวของ Time to Hunt เริ่มจากท้องเรื่องที่จินตนาการว่าเกาหลีเข้าสู่ยุคมืด ในวันที่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ รัฐเสียศูนย์ เงินวอนไร้ค่า ธุรกิจร้านค้าและบ้านเมืองที่เคยคึกคักมีสีสัน กลายเป็นสลัมเสื่อมโทรมรกร้าง สังคมแร้นแค้น คนจรจัดไร้งานอยู่ทั่วทุกหัวระแหง เป็นสภาพที่หนังจะถ่ายทอดผ่านการเซ็ตโลเคชั่นและเทคนิคแสงสีของโปรดัคชันให้ได้อารมณ์ขมุกขมัวหดหู่เสื่อมโทรมสุดๆ
จุนซอก (รับบทโดย อีเจฮุน) เด็กหนุ่มที่เพิ่งพ้นโทษจำคุกสามปีคดีลักทรัพย์ เขามองเห็นว่าหนทางเดียวที่จะมีชีวิตใหม่ได้ คือต้องออกจากเมืองนรกแห่งนี้ มีฝันที่จะย้ายไปอยู่เมืองชายทะเลที่ไต้หวัน ตอบโจทย์ทั้งสภาพความเป็นอยู่ดีขึ้นและช่องทางงานสุจริตที่มีอนาคต แต่มีเงื่อนไขยากข้อเดียว คือ ต้องมีเงินก้อน ถึงจะพาตัวเองไปที่นั่นได้
‘เงิน’ ในสังคมนี้ที่ยังคงมีค่า ก็คือสกุลเงินดอลล่าร์ และแหล่งที่ยังพอหาได้เป็นกอบเป็นกำ ก็คงมีแค่ธนาคาร กับบ่อนเถื่อนเท่านั้น จึงเป็นที่มาของแผนคิดการใหญ่ ‘ปล้นบ่อน’ โดยคิดว่าเรื่องคงไม่ถึงตำรวจหรอก เป็นเรื่องคิดการใหญ่เกินตัว เพราะยังไงเขาก็เป็นเพียงเด็กหนุ่มที่แค่ต้องเติบโตด้วยตัวเอง อยู่ให้รอด มองหาอนาคตที่ดีขึ้น มิใช่อาชญากรโดยสันดาน แต่การปล้นบ่อนเป็นงานใหญ่ระดับมืออาชีพของทีมติดอาวุธครบมือ!
จุนซอกจึงชวนเพื่อนซี้ที่เคยร่วมคดีปล้นคราวก่อน มาร่วมปฏิบัติการท้าทายอีกครั้ง หวังว่าจะเป็นครั้งสุดท้าย คือ จางโฮ (รับบทโดย อันแจฮง) และ กีฮุน (รับบทโดย ชเวอูชิก) แม้เพื่อนๆจะลังเลแต่ก็ตอบตกลงในที่สุด เป็นการตอบแทนเพื่อนที่ช่วยเหลือกันเสมอ และพวกเขาก็ไม่มีอะไรจะเสียไปกว่านี้อีกแล้ว เพื่อชีวิตใหม่แล้วก็คุ้มค่าเสี่ยงอยู่ นอกจากนี้ ก็มีเพื่อนที่จำยอมร่วมภารกิจอีกคน เพราะติดหนี้จุนซอก คือ ซังซู (รับบทโดย พัคจองมิน) ซึ่งทำงานเป็นพนักงานในบ่อนนั้น
ความสนุกลุ้นตื่นเต้นแรกของผู้ชม ก็คือ แผนปล้น ที่พวกเขาเลือกเป้าเป็นเซฟเล็กของบ่อน ซึ่งเป็นเงินสำรองในแผนกแลกชิป สามารถเข้าถึงและคุมเกมได้ง่ายกว่า แต่ต้องเก็บหลักฐานที่อาจมัดตัวได้ คือฮาร์ดดิสก์บันทึกกล้องวงจรปิด ซึ่งพวกเขาหารู้ไม่ว่า ฮาร์ดดิสก์นี้น่ากลัวซะยิ่งกว่าเงินที่โกยมา!
เมื่อภารกิจประสบความสำเร็จอย่างไม่ยากนัก ต่างรับส่วนแบ่งกันไปแล้ว จุนซอก จางโฮ และ กีฮุน ก็เตรียมพร้อมเดินทางไปไต้หวันทันที แต่ความสุขของพวกเขาก็จบลงไวมาก ยังไม่ทันได้ไปถึงไหน เมื่อพบว่ามีใครบางคนเริ่มตามหาพวกเขา โดยเป้าแรกเริ่มต้นจาก เถ้าแก่บง (รับบทโดย โจซองฮา) เจ้าของแหล่งจัดหาอาวุธปืนให้แก๊งค์สี่หนุ่ม
เกมล่าครั้งนี้ มีผู้ล่าเป็นมืออาชีพสุดเลือดเย็นซึ่งมีนามว่า ฮัน (รับบทโดย พัคแฮซู) มีผู้ถูกล่าเป็นสี่เด็กหนุ่มอาชญากรมือสมัครเล่น ด้วยเครื่องมือคืออาวุธปืนเกรดสงคราม และเป้าหมายที่ไม่ใช่แค่การทวงเงินคืน!
ดังนั้น ความสนุกตื่นเต้นอันดับถัดมา ก็คือ การลุ้นให้พวกเขาทุกคนหนีพ้นเกมล่าสุดอันตรายนี้ หนังใช้เวลากับพาร์ทนี้เยอะจุใจมาก กลายเป็นองค์หลักของเรื่อง ก็คือว่าตามชื่อเลยแหละ งานภาพ แสง เสียง ระดมกันมาบิวท์อารมณ์แบบสุดระทึก สร้างอารมณ์ร่วมให้ผู้ชมสัมผัสได้ถึงความหวาดกลัว อาการเหงื่อแตกมือเย็นหายใจไม่ทั่วท้องตามนักแสดงได้ไม่ยาก แม้ว่าเกมการล่านี้จะดูยืดเยื้อยาวนาน สร้างความอึดอัดว่าจะรอดไหม รอดอย่างไร เมื่อไหร่ ความระทึกซ้ำแล้วซ้ำเล่าสำหรับคอหนังที่เจนจัด ก็อาจกลายเป็นความยืดยาด ที่ไม่ยอมสิ้นสุดสักที ลากให้หนังยาวถึง 2 ชั่วโมงกว่าอย่างเกินจำเป็นไปหน่อย
จึงเรียกได้ว่าเป็นหนังที่ดูเอามันส์ จากการประโคมเสิร์ฟฟิลระทึกมากกว่าตัวเนื้อหา เพราะเอาจริง การเปิดประเด็นเหตุผลของการล่าเอาตายขนาดนี้ไว้ ก็ไม่ได้นำมาสานต่อเรื่องราว หรือการเปิดเรื่องพาดพิงเศรษฐกิจสังคมการเมือง..บลา..บลา..ไว้ ก็เพียงเพื่อปูรองรับท้องเรื่องเท่านั้น หรือเนื้อหาบางส่วนที่ตัดรวบให้คนดูไปคิดต่อเอง ภาพรวมหนังจึงสอบผ่านสำหรับการดูเอาบันเทิงในมุมระทึกขวัญของความ ‘ถึงเวลาล่า’ และความเร้าใจจากฉากแอคชันซัดกระหน่ำด้วยอาวุธสงครามใส่กันไม่ยั้ง เพราะ ‘ต้องสู้เพื่อรอด’ รวมถึงความอิ่มในงาน Cinematography ที่พิถีพิถันเต็มคุณภาพ
ในมุมมองของผู้เขียน จึงรู้สึกว่าเนื้อหาสะท้อนความบีบคั้นอารมณ์ coming-of-age อาจไม่ค่อยหน่วงจิตเท่า Bleak Night ทั้งๆที่พวกเขาสี่คนนี้อยู่ในสถานการณ์ที่บีบคั้นกว่า และความบ้าบิ่นเสี่ยงอันตรายเกินตัว ก็คงเพราะให้แอร์ไทม์หมดไปกับฉากล่าระทึก ทิ้งพื้นที่เศษเสี้ยวให้บทซึ้งสะเทือนใจ ซึ่งอาจไปได้สุดกว่านี้อีกถ้ามีเนื้อหามารองรับมากขึ้น นอกจากนี้ มุมมองน่าคิดที่เก็บสอยเพิ่มได้บ้างว่า ผู้ล่าในวันนี้ ก็อาจเปลี่ยนสถานะเป็นผู้ถูกล่าในวันหน้าได้ ขึ้นอยู่กับว่าจะมีใครมีพลังเหนือกว่าอีกหรือไม่ ซึ่งในโลกยุคมืด คนที่มีพลังอาวุธความชั่วร้าย ก็จะได้เปรียบกว่า เหล่ามือสมัครเล่นจึงเป็นได้แค่เหยื่อ นี่ลองจินตนาการเล่นๆว่า ถ้าแก๊งค์สี่หนุ่มเป็นตัวจริงสายเลว รูปการณ์คงเปลี่ยนไปเลยนะ และสำหรับ อีเจฮุน นักแสดงนำของเรื่อง ผู้เขียนขอยกให้เป็นอีกหนึ่งผลงาน masterpiece ของเขาเลย เล่นดีถึงใจถึงอารมณ์มากค่ะ
Trailer :
หากใครที่ชื่นชอบทั้งสายหนังและสายซีรีส์ สามารถติดตามผลงานผู้เขียน warumanu ได้ทางเพจ มูฟวีข้ามวัน ซีรีส์ข้ามคืน
ติดตามข่าวสารจากเราได้ที่
Facebook Fanpage : facebook.com/korseries
Twitter : twitter.com/korseries
Website : korseries.com
Youtube : Korseries