หลังการถล่มฆ่าล้างบางแล็ปทดลองมนุษย์ ยังมีอีกหนึ่งผู้หลุดรอดชีวิต
เธอจึงต้องถูกรุมตามล่า จนเผยตัวตนแม่มดมือสังหารออกมา
The Witch : Part 2. The Other One เป็นหนังภาคต่อของ The Witch : Part 1. The Subversion (2018) ที่มีผู้ชมมากมายตั้งความคาดหวังกับภาคสองไว้เยอะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อภาคแรกสร้างความพึงพอใจไว้มาก คงยากที่จะเขียนรีวิวเรื่องนี้โดยไม่พาดพิงเนื้อหาจากภาคแรก เพราะนอกจากเนื้อหาที่อุปมาดั่งเกิดจากไข่ฟองเดียวกันแล้ว การแตกตัวก็มีรูปแบบบางอย่างที่เหมือน บางอย่างที่ต่าง ซึ่งเชื่อว่าได้ถูกผู้กำกับคิดมาอย่างดีแล้วว่า จะทำอย่างให้ต่างไปอย่างมีจุดสนใจชดเชยความสดใหม่ของพล็อตหลักที่ถูกเฉลยไปแล้ว ทำอย่างไรจึงจะอุดจุดอ่อนเดิมที่เคยมี ซึ่งแน่นอนว่าสนุกหรือไม่สนุกก็เป็นเรื่องของนานาจิตตัง ความชอบของแต่ละคน ผู้เขียนจะขอรีวิวแบบเห็นทั้งสองด้าน จึงต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานว่าผู้อ่านได้ผ่านภาคแรกมากันหมดแล้วนะคะ
ว่าโดยผิวเผินจากพล็อต ภาคนี้อาจเหมือนเวอร์ชันรีเมคก็ว่าได้นะ จริง ๆ แล้วโดยชื่อเรื่องก็ชี้ชัดอยู่ว่าเป็น The Other One ปฏิบัติการล่าแม่มดอีกคนหนึ่ง/อีกครั้งหนึ่ง แต่ผู้กำกับก็ยังสามารถหาสิ่งที่แอดวานซ์หรือแตกต่างมาเสริมองค์ประกอบใหม่ของเรื่องราวที่น่าชมน่าติดตามได้ เป็นต้นว่า…
ศัตรูรอบตัวพันตูมากขึ้น
มนุษย์สายพันธุ์ใหม่จากแล็ปทดลองที่ถูกเรียกเป็น ‘แม่มดน้อย’ หรือ กูจายุน (รับบทโดย คิมดามี) ในภาคแรก ถูกตามล่าโดยองค์กรหลังหลบหนีมาเติบโตอยู่ภายนอกนานถึง 10 ปี เป็นการล่าแบบ 1 ต่อ 1 แต่มาภาคนี้ แม่มดสาวน้อย (รับบทโดย ชินชีอา) ที่หลุดรอดชีวิตอย่างคาดไม่ถึงเพียงหนึ่งเดียว หลังจากแล็ปถูกถล่มราบคาบจากกองกำลังปริศนา ระหกระเหินออกมาสู่โลกภายนอกอย่างใสซื่อบริสุทธิ์ เธอต้องเผชิญกับฝ่ายวายร้ายแบบ 1 ต่อ 3 เลย
มีทั้งหน่วยทหารขององค์กรที่ต้องตามกำจัด ‘ผลผลิต’ ล้ำเลิศของ ดร.แบ็ค (รับบทโดย โจมินซู) เพราะรู้ในพลังอันร้ายกาจเกินควบคุม ปล่อยทิ้งไว้ไม่ได้ และ กลุ่ม ‘โตอู’ ทีมจากแล็ปที่จีน ซึ่งมีจุดประสงค์ปริศนา ทั้งสองทีมนี้ ต่างก็เป็นผลผลิตจากแล็ปทดลองมนุษย์เช่นกัน แม้จะไม่ใช่คลาสเลิศ แต่พลังซูเปอร์มนุษย์ที่เก่งล้ำ แกร่งทนทายาดนั้นก็ใช่ย่อย รวมถึงทีมที่สาม คือนักเลงท้องถิ่นที่นำโดย ยงดู (รับบทโดย จินกู) อาที่ตามข่มขู่บีบหลานสาว คยองฮี (รับบทโดย พัคอึนบิน) ให้ขายฟาร์มที่ดินมรดกให้เขาเอาไปลงทุนทำอสังหาฯ พัฒนา แต่แม่มดสาวน้อยที่มาอาศัยบ้านคยองฮีอยู่เพราะได้รับความช่วยเหลือทั้ง ๆ ที่ไม่รู้จักกันมาก่อน ได้ออกตัวช่วยสั่งสอนไล่แก๊งของยงดูไปอย่างกระเจิดกระเจิง จนสร้างความคับแค้นใจยิ่ง ดังนั้น ความเร้าใจของฉากแอ็คชันจึงเกิดหลายช็อตตลอดเรื่อง แตกต่างจากภาคแรกที่ใช้เวลาปูที่มาที่ไปก่อนรอพีคแอ็คชั่นที่ท้ายเรื่อง
บู๊แอ็คชั่นอย่างอลังการขึ้น
การต่อสู้แบบซัดกันประชิดตัวหนึ่งต่อหนึ่ง สร้างฉากว้าว ๆ ของกูจายุนในการเอาชนะคู่ต่อสู้ทีละคนในภาคแรก จึงเปลี่ยนโฉมมาเป็นงานสเกลที่ใหญ่ขึ้น ฉากที่อลังการขึ้น เพราะคู่ต่อสู้มากันเป็นทีมทั้งนั้น เสริมการใช้อาวุธสงคราม สาดพลังประจัญบาน ซัดถล่มกันพังพินาศ หรือการออกแบบฉากต่อสู้ที่ได้อารมณ์ตื่นตาตื่นใจฉับ ๆ ตู้ม ๆ แบบ Comic action หรือสไตล์ฮีโร่ Marvels ซึ่งก็จะกลายเป็นมู้ดเซอร์เรียลวูบวาบหน่อย ๆ แบบเน้น CG เทคนิคตัดต่อ มากกว่าเสน่ห์ของลีลาศิลปะการป้องกันตัว ก็เรียกว่า หาทางออกของวิธีสร้างความแตกต่างได้ดี แบบไม่ยึดติด
หยอดฟินฮาเบา ๆ มาเคล้าความดาร์ค
องค์ประกอบที่เพิ่มเข้ามาให้มีมิติรสชาติมากขึ้น มีทั้งฉากโรมานซ์ และ ฉากอมยิ้มขำ ๆ ภาคนี้มี แดกิล (รับบทโดย ซองยูบิน) เป็นน้องชายของคยองฮี ที่สานสัมพันธ์สร้างเคมีน่ารักน่าเอ็นดูกับแม่มดสาวน้อย นอกจากนี้ก็ยังเสริมเคมีแปลกจากคู่หูคู่โหดทีมทหารคือ บอสโจฮยอน (รับบทโดย ซออึนซู) และ ลูกน้องฝรั่งคนสนิทผู้ซื่อสัตย์และภักดี ถึงจะขยันบ่นความปากร้ายด่าแหลกของบอส แต่เอาจริงก็เสพย์ติดคำด่าเกาหลีไปซะแล้ว กลายเป็นตัวละครขโมยซีนฮาของเรื่องไปเยอะอยู่ และสำหรับซออึนซู เรื่องนี้เธอฉีกบทมาก โหดหน้าสวยน่าดูดีค่ะ อันที่จริง นอกเหนือจากความฟินฮาแล้ว ก็ยังครบสูตรสำเร็จเกาหลีที่ต้องตามมาด้วยความบีบหัวใจ ที่ผู้เขียนขอละไว้ให้ชมกันเอง
เสน่ห์ของแม่มดทีแตกต่าง
คิมดามี เป็น ‘กูจายุน’ ที่สดใส แต่ลึก ๆ แฝงความเจ้าเล่ห์จอมแผนการ แต่ ชินชีอา มาในคาแรคเตอร์ใสบริสุทธิ์กว่า เธอไม่ได้ตั้งใจหลบหนีออกมา แต่เธอรอดตายออกมาจากแล็ปอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่ หรือคิดในอีกมุมที่ลึกซึ้งขึ้นคือ กูจายุนออกมาสัมผัสโลกนานกว่า อาจปรับตัวเข้ากับความซับซ้อนของมนุษย์ได้มากกว่า (ตามที่เคยมีคำกล่าวเสมอ ๆ ว่า ไม่มีอะไรร้ายกว่ามนุษย์อีกแล้ว) ซึ่งชินชีอาก็สามารถถ่ายทอดบทใส ๆ และอารมณ์ภายในผ่านสีหน้าแววตา เพราะบทพูดเธอน้อยมาก ตอบโจทย์คาแรคเตอร์ที่ไม่เน้นออกแรงฟาดบู๊เยอะ แต่สามารถส่งพลังพินาศราบคาบได้อีกขั้น ซึ่งเบื้องหลังการมาถึงจุดนี้ ทั้งคู่เป็นนักแสดงที่ต้องฝ่าด่านออดิชั่น 1,408 คนสำหรับชินชีอา และ 1,500 คนสำหรับคิมดามี ฝีมือต้องไม่ธรรมดาอยู่แล้ว
ปมเรื่องที่มากับบทเซอร์ไพรซ์หักมุม
ภาคแรกอาจทำได้น่าสนใจกว่า เพราะมีปมปริศนาของพล็อตหลักผนวกกับแผนพลิกความคาดหมายของ ‘กูจายุน’ สำหรับภาคสอง กิมมิคหักมุมนี้มีหยอดเบา ๆ ไว้ที่ต้นเรื่องและท้ายเรื่อง ต้องจับตากันดี ๆ การโยงภาคสองกับภาคแรกไว้ที่จุดนี้ และ Hint การส่งสปริงบอร์ดไปสู่ภาคสาม (ถ้าจะมีการทำต่อ) ได้อย่างน่าสนใจ (ผนวกกับปมเดิมจากภาคแรกที่มิได้กล่าวถึงในภาคนี้ ซึ่งผู้เขียนเองเดาว่าจะมีบทบาทถ้ามีภาคสาม คือการขจัดจุดอ่อนคร่าชีวิตของอาการข้างเคียงไมเกรนเลือดออกด้วยการปลูกถ่ายไขกระดูกจากแม่แท้ ๆ ที่ให้กำเนิด รวมถึงความหวังว่าจะได้เห็นทั้งคิมดามีและชินชีอาด้วยกันอีกครั้ง) ส่วนเนื้อหาอื่น ๆ ระหว่างทางของเรื่องนี้อาจดำเนินไปแบบตรงไปตรงมาค่อนข้างย่อยง่าย
Magnet ของนักแสดงรับเชิญ
คนแรกเลยก็คงต้องพูดถึง อีจงซอก ในลุคผมยาวลอน ร่างสูงใหญ่ใต้โค้ทหนา มีออร่าดึงดูดสายตาซะจนอาจเผลอลืมอ่านซับ ทำให้มองข้ามบทที่ไม่ค่อยจะมีความสำคัญใดต่อเรื่องนักได้ อิอิ เหมือนมาด้วยโจทย์เรียกกระแส แต่ก็สมมงเพราะดึงดูดสายตาจริง ๆ ในขณะที่ คิมดามี ก็มาแบบให้อึ้งกับบทเฉลยปม และเสน่ห์แม่มดรุ่นใหญ่ น่าติดตามว่าจะเป็นอย่างไรต่อ ส่วน ออมแทกู มาแว็บเดียวจริง ๆ ถ้ากระพริบตาอาจไม่ทันดู 555
ทั้งนี้เอกลักษณ์ ‘ความเลือดสาด’ ที่ไม่หวงไม่เหนื่อยกับการเตรียมพร้อพเอฟเฟกต์เลือดของผู้กำกับและทีม ยังคงอยู่ครบคุณภาพ แต่บางคนที่เริ่มคุ้นเคยกับมันไปแล้ว อาจไม่ค่อยกระตุกอารมณ์สยองนัก โดยรวมก็ถือว่าเป็นไซไฟแอ็คชั่นที่บันเทิงเพลิดเพลินใช้ได้ค่ะ แม้จะยาวไปนิดกับเวลา 2 ชม.เศษ แถมมีบทส่งท้ายหลังจบเครดิตด้วย แต่ก็อยากให้ลองไปชมกันดูค่ะ
Trailer :
ติดตามบทความรีวิวอื่นๆ ข่าวสารบันเทิงเกาหลี หรือพูดคุยกับ WARUMANU ได้ที่ เพจมูฟวีข้ามวันซีรีส์ข้ามคืน
ติดตามข่าวสารและสิ่งที่น่าสนใจจากเราได้ที่
Facebook Fanpage : facebook.com/korseries
Twitter : twitter.com/korseries
Website : korseries.com
Youtube : Korseries
ขอความกรุณาไม่คัดลอก-ดัดแปลงบทความไปโพสต์ลงในเพจ-สำนักข่าวอื่น รวมถึงไม่นำบทความไปอ่านลง YouTube หรือแพลตฟอร์มใด ๆ โปรดช่วยแชร์เป็นลิ้งก์นะคะ ♡