The Spy Gone North เป็นภาพยนตร์ในหมวดของ Spy Drama ผลงานจากผู้กำกับ ยุนจงบิน เจ้าของผลงาน Kundo : Age of Rampant (2014), Nameless Gangster : Rules of the Time (2011)
เรื่องนี้ติดอันดับ Box Office ทำรายได้สูงเป็นอันดับ 5 ของปี 2018 รองจาก Along with the Gods : The Last 49 Days, The Great Battle, Intimate Strangers และ Believer ตามลำดับ (มีรีวิวแล้วทุกเรื่อง ยกเว้น Intimate Stranger ที่จะตามมาเร็วๆนี้) ไม่เพียงประสบความสำเร็จสวยงามในด้านรายได้ แต่ด้านรางวัลก็กวาดมาเพียบ หลากหลายเวทีใหญ่ๆ และหลากหลายหมวดรางวัล เรียกได้ว่ารับกันไปนับไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็นทีมงานหรือนักแสดง ถ้าแจกแจงคงได้ยาวเป็นหน้ากระดาษแน่ เอาว่าเวทีใหญ่ล่าสุด Baeksang Arts Awards ครั้งที่ 55 ของปีนี้ ก็ได้รางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และ นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม-อีซองมิน
พลอตของหนัง สร้างอิงโครงเรื่องจริงของสายลับเกาหลีใต้ที่ถูกส่งไปสอดแนมเรื่องอาวุธนิวเคลียร์ในเกาหลีเหนือจริงๆในช่วงทศวรรษ 1990 ซึ่งใช้ชื่อโค้ดลับว่า Black Venus หรือชื่อจริงว่า พัคแทซอ ภายใต้สังกัดของ Agency for National Security Planning (ANSP) เขาเป็นสายลับมือโปรที่ประสบความสำเร็จสูงสุดคนหนึ่งที่สามารถเข้าถึงตัวผู้นำเกาหลีเหนือในตอนนั้น คือ คิมจงอิล เขาปลอมตัวไปในคราบของนักธุรกิจที่มุ่งการสร้างประโยชน์เรื่องรายได้ให้ทั้งสองประเทศ แต่ในที่สุดก็กลายเป็นว่ามีระดับบริหารในหน่วยข่าวกรองเกาหลีใต้เองที่หวังผลประโยชน์ทางการเมือง วางเกมให้เกาหลีเหนือได้แทรกแซงการเลือกตั้งประธานาธิบดีเกาหลีใต้ โดยหนุนผู้สมัครที่โปรเกาหลีเหนือ สกัดกั้นคนที่ประชาชนเชียร์ เขาผู้ไม่ยอมคล้อยตามเกมจึงโดนข้อหาขายความลับให้เกาหลีเหนือ โทษจำคุก 6 ปีตามกฎหมายความมั่นคงของชาติ ภายหลังจากนั้น นักข่าว คิมดัง ได้นำเรื่องราวของเขามาเขียนเป็นหนังสือเผยแพร่ ประเด็นที่ฮือฮากันมากหลังจากหนังสือเผยแพร่ออกมาคือ พัคแทซอซ่อนเครื่องบันทึกไว้ในท่อปัสสาวะเพื่อเข้าประชุมกับผู้นำเกาหลีเหนือ และการที่เขาถูกฝึกฝนให้สามารถฆ่าตัวตายด้วยนิ้วตัวเองในกรณีที่ถูกฝ่ายตรงข้ามจับได้ เป็นพันธะสัญญาการรักษาความลับของคนในอาชีพนี้ (มืออาชีพมาก!)
และเรื่องราวของเขาก็ดึงดูดความสนใจผู้กำกับ จนกลายมาเป็นภาพยนตร์ The Spy Gone North นี่แหละ ด้วยความมุ่งหวังจะให้น้ำหนักไปทางถ่ายทอดชีวิตจริงของการทำงานของสายลับ (ซึ่งน่าทึ่งมาก) มากกว่าการทำเป็นหนังสายลับแอคชั่นทั่วไป แต่ก็ได้เสริมเติมตัวละครและบทที่ให้สีสันความสนุกสนานชวนติดตามเข้าไปด้วย
จุดเริ่มต้นของหนัง คือ เมื่อประเทศเกาหลีที่ถูกแบ่งแยกออกเป็นเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ ภายใต้การหนุนหลังของมหาอำนาจสองขั้วที่ต่างแนวคิดการเมืองการปกครอง คือ สหภาพโซเวียต และ สหรัฐอเมริกา ตามลำดับ ภายนอกทั้งสองเกาหลีอาจดูเหมือนสงบ แต่ลับหลังต่างก็แอบส่งสายลับเข้าไปสอดแนมกันและกันอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อมีข่าวว่าเกาหลีเหนือเริ่มแสดงทีท่าว่าไม่ใส่ใจกับสนธิสัญญา ข้อตกลงที่ว่าด้วยการยุตินิวเคลียร์เพื่อสันติภาพอีกต่อไป และกลับเป็นว่า อาจได้พัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ขึ้นแล้ว ถ้าเช่นนั้น เกาหลีใต้จะยอมอยู่เฉยได้หรือ
ต้นปี 1990 ทหารเกาหลีใต้ พัคซอกยอง (รับทโดย ฮวังจองมิน) จึงถูกหน่วยข่าวกรองซึ่งมีหัวหน้าชเวฮักซอง (รับบทโดย โจจินอุง) ทาบทามไปเป็นสายลับ เพื่อช่วยชาติในการเข้าไปสอดแนมสืบหาว่าเกาหลีเหนือมีอาวุธนิวเคลียร์อยู่จริงหรือไม่ ความเนียนมืออาชีพจึงต้องเริ่มต้นจากการสร้างประวัติใหม่ ใช้เวลาแรมปีทำตัวให้ติดเหล้า ติดพนัน สร้างหนี้สินท่วมหัว จนต้องออกจากราชการทหาร
หน่วยข่าวกรองได้วางแผนสืบและล่อซื้อข้อมูลจากศจ.คิมจางฮยอกนักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์ของเกาหลีใต้ ที่ไปสอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยในจีน จึงได้รู้ว่าลับหลัง ศจ.ก็เป็นผู้ถูกจ้างไปจัดการผลิตนิวเคลียร์ให้เกาหลีเหนือตั้งแต่ปี 1989 ที่โรงปฏิกรณ์ใน จ.ยองบยอน ติดชายแดนจีน มีเพียงท่านผู้นำของประเทศและเจ้าหน้าที่ใกล้ชิดเท่านั้นที่จะตอบได้ว่านิวเคลียร์นี้ตั้งใจไว้ใช้เพื่อพลังงานหรือเป็นอาวุธสงครามกันแน่
ปฏิบัติการสายลับภาคสนามจึงเริ่มขึ้น ในปี 1995 พัคซอกยองเดินทางไปปักกิ่งในฐานะนักธุรกิจ เพื่อเจาะช่องทางเข้าหา ผอ.รีมยองอัน (รับบทโดย อีซองมิน) ซึ่งเขาเป็นคณะกรรมการเศรษฐกิจการค้าต่างประเทศของเกาหลีเหนือ จบด้านเทคโนโลยี แม้จะเป็นแค่พลเรือนแต่มีอิทธิพลไม่แพ้พวกติดยศ เขาคุมเรื่องการค้าต่างประเทศทั้งหมด และแน่นอนต้องมีธุรกิจในจีน ที่สำคัญเขามีความใกล้ชิดผู้นำคิมจงอิล จะเป็นเส้นทางสั้นสุดที่ตรงเข้าเป้า
แต่งานนี้ แค่ฟังว่าการปลอมตัวของพัคซอกยอง จะมีผู้รับรู้เพียง 3คนเท่านั้น ก็ชวนผู้ชมขนลุกผสมฮึกเหิมละ คือ หัวหน้าชเว ผอ.คิม (รับบทโดย คิมอึงซู) ของสำนักข่าวกรอง และหมายเลขหนึ่ง (Code One คือ ประธานาธิบดีนั่นเอง)
สายลับในยุคนั้นที่แทรกซึมอยู่ในจีนมีเยอะ แต่ถูกเก็บกำจัดทิ้งก็แยะ จึงไม่ใช่เรื่องง่ายนัก พัคซอกยองต้องอาศัยอุปกรณ์สปายมือโปร ผสมสกิลเทพเฉพาะตัว ไหวพริบและความสุขุมตีเนียน สร้างสถานการณ์ต่างๆให้เป็นธรรมชาติเพื่อทอดสะพานให้ถึงตัวรีมยองอัน และล่อลวงให้ตายใจให้ได้
ลีลากลเม็ดของเขาน่าชมมาก ยิ่งคู่ต่อสู้ฉลาด อ่านเกมเก่ง ไม่วางใจใครง่ายๆ เขายิ่งต้องฉลาดกว่า เนียนจริงใจให้สมจริงที่สุด ยิ่งเมื่อโดนผอ.รีมยองอันลองใจถึงขั้นขอล้วงข้อมูลลับเกาหลีใต้ พัคซอกยองก็ทำจริง รับข้อมูลบางอย่างจากหน่วยข่าวกรองไปให้ พร้อมกับเงินช่วยเหลือแก้ปัญหาการค้า ตามด้วยของกำนัล นาฬิกาโรเล็กซ์ (งาน mirror ปลอมเหมือนจริง) ในสไตล์พ่อค้าที่อยากเปิดทางขอทำธุรกิจ สร้างพันธมิตรแบบ win-win
แกนนำอีกคนที่พัคซอกยองต้องฝ่าด่านให้ได้ คือ เจ้ากระทรวงกลาโหมและรับผิดชอบดูแลด้านความมั่นคง จองมูแทค (รีบบทโดย จูจีฮุน) มีความเป็นสายทหาร ไม่เป็นมิตรง่ายๆ โหดเขี้ยวเข้มไปอีกแบบ วิธีรับมือจึงต่างไป ลำพังข้อมูลลับเรื่องสว.มีเมียน้อยเป็นดาราดัง (อันนี้หักมุม ขำดี 555) ที่พัคซอกยองเอามาให้ สอบไม่ผ่านค่ะ ต้องเป็นข้อมูลลับทางทหาร แต่พัคซอกยองก็มีไหวพริบดีพอ bet ใจจนผ่านบททดสอบที่หวาดเสียวไปได้
เมื่อช่องทางเปิด พัคซอกยองเริ่มรุกการขอทำธุรกิจเหมือง เพื่อหวังจะได้เข้าใกล้พื้นที่โรงปฏิกรณ์นิวเคลียร์ แต่ดีลไม่ผ่าน แถมได้บททดสอบใหม่มาให้ช่วยขายสมบัติแอนทีคของผู้นำ ซึ่งเขาก็จัดการหาทางออกได้ดี เป็นที่ถูกใจผอ.รีมยองอัน
พัคซอกยองจึงเสนอไอเดียใหม่เป็นโครงการธุรกิจโฆษณาที่ใช้สถานที่ถ่ายทำในเกาหลีเหนือเป็นฉากหลัง จะได้เปิดช่องลุยลงพื้นที่ได้ เขาดึง ฮันชางจู (รับบทโดย พัคซองอุง) เจ้าของโปรดัคชันเฮาส์ถ่ายทำงานโฆษณา ตัวจริงเสียงจริง มาร่วมธุรกิจแบบเนียนๆ
และแล้วในที่สุด ผอ.รีมยองอัน ก็ให้ผ่านความไว้วางใจ เปิดทางให้พัคซอกยองไปหาคำตอบอนุมัติโครงการได้เองกับผู้นำคิมจงอิลที่พยองยาง (เมืองหลวงของเกาหลีเหนือ) แต่กระบวนการขั้นตอนการเข้าพบก็ใช่ว่าจะง่าย เพราะต้องการผ่านมาตรการสกรีนความปลอดภัยสูงสุด สูตรโหดเฉพาะตัวของจองมูแทค งานนี้มีลุ้นกันเหงื่อแตกมือเย็นแทนพัคซอกยองเลยเชียวท่านผู้ชม
ในขณะที่สถานการณ์การเมืองในฝั่งเกาหลีใต้เองก็กำลังคุกรุ่น เพราะใกล้ฤดูกาลเลือกตั้งประธานาธิบดี เกมการเมืองสร้างสถานการณ์ และอิงผลประโยชน์ของกลุ่มเบื้องบน ก็กำลังจะกระทบกับชีวิตและภารกิจลับของพัคซอกยองอย่างรุนแรง กลายเป็นเรื่องหนักหนาสาหัสยิ่งกว่างานเสี่ยงตายที่ทำอยู่ซะอีก
ยังมีเรื่องราวและรายละเอียดให้ลุ้นติดตามอีกเยอะ เพราะหนังยาวถึงสองชั่วโมงกว่า แต่การเดินเรื่องไม่มีช่วงเบื่อเลย ถูกจั่วหัวเป็น genre ดราม่าก็จริง แต่ขอบอกว่าสนุกลุ้นตื่นเต้นได้ตลอดเรื่อง เบาบ้าง แรงบ้าง ที่มาจากอุปสรรคบ้าง จากความหมิ่นๆจะโดนจับได้บ้าง จะได้ทึ่งกับการโชว์กึ๋น ลีลากลเม็ด ลูกล่อลูกชนที่มาจากไหวพริบเป็นเลิศ และว้าวๆกับความดาราตุ๊กตาทองของพัคซอกยองที่ซึมเข้าไปในจิตวิญญาณ ที่พี่แกรอดตายเพราะฝีมือนี้ด้วยแหละ ยกความดีให้ฝีมือการแสดงของฮวังจองมิน ได้อารมณ์ทั้งหน้าตา สำเนียง อากัปกิริยา ที่เป็นธรรมชาติสุดๆ
การประกบบทของฮวังจองมินกับอีซองมินและจูจีฮุน จึงน่าดูด้วยฝีมือจัดจ้านยกชุด โดยเฉพาะกับอีซองมิน ทั้งคู่เน้นการแสดงออกทางสีหน้าที่ต้อง poker face ใส่กันบ้าง คือ เล่นให้คู่สนทนาเดาอารมณ์ที่แท้จริงไม่ออก แต่ต้องแพลมๆให้ผู้ชมพอเดาทางได้อารมณ์ช่วยลุ้น บทอีซองมินนี่ก็เป็นสีสันสำคัญที่ขมวดปมจบของเรื่องได้กินใจดี จึงไม่แปลกใจที่อีซองมินจะได้รางวัลไปเยอะแยะจากเรื่องนี้
มองในแง่เนื้อหาของบท ก็ถือว่าดี น่าสนใจ ตีแผ่อาชีพสายลับ สะท้อนปัญหาการเมือง จิกกัดสังคมทั้งความทุนนิยมและคอมมิวนิสต์ ก็ใช่ว่าดีกันด้วยตัวเองซะที่ไหน สำคัญสุดมันอยู่ที่ตัวบุคคลผู้นำผู้คุมเกมมากกว่า ที่จะเป็นคนดีหรือคนเลว เรื่องจริงของสินบน เส้นสาย เกมสกปรก การแสวงหาผลประโยชน์ที่พบได้เสมอในวงธุรกิจ และการเมืองไม่ว่าที่ไหน ยุคไหนก็ตาม และวงจรอุบาทว์เหล่านี้แหละที่มักทำเรื่องพลิกผัน หรือ จบไม่สวยกันมาเยอะละ
นอกจากนี้ ส่วนตัวผู้เขียนชอบความ UNSEEN North Korea ด้วย แต่ก็ไม่รู้ว่าจริงมากน้อยแค่ไหน เดาๆว่าก็คงเซ็ตจากคำบอกเล่าของพัคแทซอแหละ อ่านจากสัมภาษณ์ที่เขาเล่าว่า ตอนพบคิมจงอิล เขาต้องจำทุกคำที่ผู้นำคิมพูด ต้องใช้ความจำ ไม่สามารถจดอะไรได้ จำทั้งเรื่องที่พูดคุยกัน จำทั้งรูปลักษณ์ ทรงผม ท่วงท่าเวลาพยักหน้า ต้องเก็บมาให้ได้หมด อืม.. ทึ่งจริงๆ และเห็นเลยว่าเป็นชีวิตที่กดดันเสี่ยงตายทุกเสี้ยวนาที แบบต้องเอาตัวเองรอด หวังใครเป็นตัวช่วยไม่ได้ เขาเล่าว่า ทันทีที่เหยียบเข้าเกาหลีเหนือ ก็เหมือนตกอยู่ในกำมือฝ่ายตรงข้ามแล้ว อาจถูกเปิดเผยตัวตนได้ทุกเมื่อ อาจถูกปาดคอเมื่อไหร่ก็ได้ ถ้าจะบอกว่าไม่กลัวความตาย ก็ไม่ใช่คนแล้ว
ในส่วนงานโปรดัคชั่นก็ดีงาม เก็บกลิ่นอายความพีเรียดยุคทศวรรษ 1990 ได้ดีนะ คุ้มทุกเม็ดค่ะเรื่องนี้ ไม่ควรพลาดเลยค่ะ
Trailer :