ณ ดินแดนที่เสี่ยงภัย ผู้ก่อการร้ายสุดอันตราย
23 ชีวิตตัวประกันที่อยู่ระหว่างความเป็นความตาย
สองเจ้าหน้าที่ที่ไม่กลัวตาย จะพาพวกเขากลับบ้านด้วยการเจรจาต่อรองถึงที่สุด
The Point Men หรือในชื่อไทยว่า ล็อคเป้าตาย ค่าไถ่หยุดโลก เป็นหนังที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเหตุการณ์จริงที่ชาวเกาหลีใต้จำนวนหนึ่ง ถูกกลุ่มก่อการร้ายตาลีบันจับเป็นตัวประกันในอัฟกานิสถานเมื่อปี 2007 นำมาซึ่งการสร้างสรรค์หนังลุ้นระทึกขวัญปนแอ็คชั่น บนเรื่องราวของการรับมือกับข้อเรียกร้องอำนาจต่อรองเพื่อแลกชีวิตตัวประกัน โดยสร้าง 2 ตัวเอกของเรื่องให้ ต่างขั้วทัศนะและสไตล์การทำงาน มาเจอกันในภารกิจนี้
หนึ่งคือเจ้าหน้าที่การฑูตใส่สูทผูกไทค์ว่าตามตำราเป็นหลัก อีกหนึ่งคือเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองช่ำชองแดนอาหรับลุคดิบ ๆ จนพวกเขาต้องยอมจับมือกัน ทุ่มชีวิตเป็นเดิมพันกับกลยุทธ ‘การเจรจาต่อรอง’ ในแบบที่เป็นทางเลือกสุดท้ายภายใต้เส้นตายวิกฤติ ก็เพราะเป้าหมายเดียวของพวกเขาที่ตรงกัน คือ ตัวประกันทั้งหมดต้องรอดชีวิตได้กลับบ้าน
หนังเริ่มด้วยภาพความน่ากลัวของพื้นที่ ทั้งร้อนระอุมีแต่เขา หิน และทราย สุดลูกหูลูกตา ถนนเล็ก ๆ ทอดยาวเพื่อข้ามเมืองก็โดดเดี่ยว เอื้อให้กลุ่มกองกำลังติดอาวุธของตาลีบันจับมิชชันนารีชาวเกาหลีใต้ 23 คนบนรถบัสปุโรทั่งไปกักขังตัวไว้ในพื้นที่ที่เข้าถึงได้ยาก และยื่นข้อเรียกร้องให้รัฐบาลปล่อยตัวนักโทษตาลีบันเป็นการแลกเปลี่ยน
ทีมเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศพร้อมนักการฑูตฝีมือดี จองแจโฮ (รับบทโดย ฮวังจองมิน) จึงรีบรุดไปที่นั่น และเปิดโต๊ะเจรจาหารือกับรัฐบาลอัฟกานิสถาน ซึ่งควรจะราบรื่น แต่แท้จริงแล้วไม่เป็นเช่นนั้น เพราะตาลีบันนั้นถูกตีตราเป็นศัตรูตัวร้ายสุดของโลกนี้ที่ไม่ควรมีใครให้อภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพี่ใหญ่ของโลกคือสหรัฐอเมริกาเป็นตัวตั้งตัวตี สืบเนื่องจากเหตุโศกนาฎกรรม 9/11 รัฐบาลอัฟกันจึงไม่ยอมตกลงด้วยแน่นอน เพื่อรักษากองกำลังทหารพันธมิตรจากทั่วโลกไว้ป้องกันตัวเอง
ในขณะที่ พัคแดชิก (รับบทโดย ฮยอนบิน) ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองที่ช่ำชองพื้นที่อาหรับ และกำลังหมดไฟจะเลิกอาชีพนี้ เพราะทนปมบาดแผลทางใจในอดีตที่ช่วยเหลือตัวประกันเกาหลีในอิรักไว้ไม่ได้ เขาถูกเรียกตัวจากหน่วยของเขาให้เข้าไปช่วยทีมเจ้าหน้าที่ที่อัฟกานิสถาน แม้ว่าเขาจะไม่ได้รับการยอมรับหรือให้ความร่วมมือใด ๆ ในตอนแรก แต่เขาก็ดึงดันจะร่วมทำภารกิจครั้งนี้ให้สำเร็จ
ถ้าวิถีทางการฑูตระดับผู้นำกับผู้นำใช้ไม่ได้ผล เส้นตายใกล้เข้ามา ก็ต้องดิ้นรนหาทางอ้อม พึ่งพาความช่วยเหลือจากผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ แม้ทำท่าจะสำเร็จ ก็ยังเกิดอุปสรรคไม่คาดคิดอีก จนเป็นเหตุให้ตัวประกันเริ่มถูกสังหาร ความตีงเครียดยิ่งทวี ความเข้าใจกันของ จองแจโฮ และ พัคแดชิก ก็เริ่มก่อตัว และการดิ้นรนก็เริ่มแรงมากขึ้น ไปถึงขั้นใช้วิธีการซิกแซกที่ไม่ตรงไปตรงมา ท่ามกลางอุปสรรคมากมายที่เสียดสีสังคมการเมืองการฑูตการสื่อไปทั่วรอบตัว ก็ดันให้พวกเขามาถึงทางตัน หลังชนฝาจนได้
ถ้าพวกเขายึดมั่นเป้าหมายเดียวกันอย่างเหนียวแน่น คือ ‘ต้องพาเพื่อนรวมชาติของเรากลับบ้านให้ได้’ แล้ว พวกเขาก็ยอมใช้วิธีสุดท้ายที่ท้าทายโลก คือการยอมนั่งประจันหน้าเจรจาต่อรองกับวายร้ายของโลก นั่นหมายถึงการโอนอ่อนเข้าหา และยังอาจตามมาด้วยการโอนอ่อนทำตามข้อเรียกร้องอีก ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรต้องไปตามชมกันค่ะ
หนังตอบโจทย์สนุก มันส์ เข้าถึงง่ายกับตลาดวงกว้าง แต่ไม่ใช่ความคาดหวังแบบบู๊อลัง แอ็คชันกระจาย เพราะหนังไม่ได้ถูกวางจุดยืนเช่นนั้น และความที่อิงเหตุการณ์จริงมา ก็ทำให้รู้ผลลัพธ์ปลายทางอยู่แล้ว แต่โดยรวม หนังก็ยังมีจังหวะความน่าติดตามดี งานภาพสวยงาม
งานซาวน์เป็นไปตามสูตรหนังทริลเลอร์มาตรฐานไม่บกพร่อง เดินบทได้กระชับ ลื่นไหลฉากต่อฉากอย่างได้ลำดับใจความ สะท้อนความจริงของผลประโยชน์การเมือง ระดับประเทศ ระดับข้ามชาติ เสียดสีการปกป้องตำแหน่งหรือพื้นที่ของตน ศักดิ์ศรีของนักการเมือง นักการฑูต รวมถึงศักดิ์ศรีตัวตน ขนานไปกับการค่อย ๆ พัฒนาอารมณ์ความรู้สึกของตัวเอกที่มีจิตสำนึกลึกซึ้งกินใจ หนักแน่นกว่าแค่การปฏิบัติไปตามหน้าที่
เพราะผู้กำกับมีความตั้งใจจะไม่ถ่ายทอดมุมของการเข่นฆ่า ฉากโหดสยอง และไม่ได้ต้องการเน้นดรามาของมุมชีวิตตัวประกัน เรื่องราวหลักจึงเทให้กับอุปสรรคและการจัดการเพื่อช่วยเหลือตัวประกันด้วยวิธี ‘เจรจาต่อรอง’ ตามชื่อเรื่องที่หมายถึง ‘ตัวแทนที่ไปทำหน้าที่เจรจาแก้ปัญหาให้’ ควบคู่ไปกับสัมพันธภาพของสองตัวเอกที่แตกต่างแต่จูนคลื่นเจอกันได้ เป็นมิตรภาพที่น่าชื่นใจและตราตรึงกันไปอีกนานแน่นอน และนั่นก็ทำให้ งานไม่ได้เน้นโชว์บู๊แอ็คชันมากนัก แต่ที่มีก็ถือว่าน่าดูชมระดับหนึ่ง ได้เห็นฮยอนบินขี่มอเตอร์ไซค์ผาดโผนสวยงาม
สำหรับนักแสดง ก็ถือว่าใช้เอลิสต์ของวงการ ทั้ง ฮวังจองมิน ที่เจ้าตัวยังเผลอคิดว่าสลับบทผิดหรือไม่ เขาน่าจะได้บทเถื่อนดิบหัวร้อนของ ‘พัคแดชิก’ และ ฮยอนบิน ควรเป็น ‘จองแจโฮ’ ที่เนี๊ยบ ๆ มากว่า แต่ก็ถือว่าทั้งคู่ทำคาแรคเตอร์ของตัวเองได้ดี และที่ขาดไม่ได้ก็คือ บทของ ‘อีบงฮัน’ หรือ ‘คาซิม’ ที่แสดงโดย คังกียอง ชื่นชมความยากลำบากที่เขาต้องฝึกฝนบทพูดภาษาอาหรับยาวๆ และต้องขอบคุณบทของคาซิมด้วยที่ทำให้เราได้หัวเราะคลายเครียดบ้าง จังหวะหยอดมุกถือว่ากำลังดีเลย
อย่างไรก็ตาม ด้วยพล็อตเรื่องของการเจรจาชิงตัวประกัน หรือก่อการร้ายตาลีบัน อาจเป็นเรื่องที่ไม่ตื่นเต้นนักสำหรับยุคนี้แล้ว แต่สำหรับคนเกาหลีอาจมีความอินกว่าด้วยว่าเป็นเหตุการณ์อดีตของเขา ส่วนสำหรับเรา ๆ ก็ก้าวข้ามเรื่องมันส์เร้าใจไปมองที่เนื้อหาก็ยังดูได้น่าสนใจอยู่ รวมถึงน่าชื่นชมผู้กำกับ (ผู้หญิงด้วย) และทีมทำงานที่ฟันฝ่าอุปสรรคนานาพากองถ่ายไปท้าทายถึงประเทศจอร์แดนเป็นครั้งแรกของเกาหลี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นช่วงโควิด-19 ระบาดอยู่ด้วยนะ
ผู้เขียนขอร่วมทิ้งท้ายตามจองแจโฮและพัคแดชิกด้วยค่ะว่า อัสซะลามุอะลัยกุม (แปลว่า ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน)
Trailer :
ติดตามบทความรีวิวอื่นๆ ข่าวสารบันเทิงเกาหลี หรือพูดคุยกับ WARUMANU ได้ที่ เพจมูฟวีข้ามวันซีรีส์ข้ามคืน
ติดตามข่าวสารและสิ่งที่น่าสนใจจากเราได้ที่
Facebook Fanpage : facebook.com/korseries
Twitter : twitter.com/korseries
Website : korseries.com
Youtube : Korseries
ขอความกรุณาไม่คัดลอก-ดัดแปลงบทความไปโพสต์ลงในเพจ-สำนักข่าวอื่น รวมถึงไม่นำบทความไปอ่านลง YouTube หรือแพลตฟอร์มใด ๆ โปรดช่วยแชร์เป็นลิ้งก์นะคะ ♡