เมย์เดย์! เมย์เดย์!
สัญญาณขอความช่วยเหลือจากนักบินอวกาศคนหนึ่งที่อยู่ห่างไกลไปหลายแสน กม.
ภารกิจของเขาคือการไปพิชิตดวงจันทร์
ภารกิจของคนภาคพื้นคือนำเขากลับบ้านอย่างปลอดภัย
The Moon หรือชื่อไทยว่า ปฏิบัติการพิชิตจันทร์ เป็นผลงานของ ผู้กำกับคิมยงฮวา ผู้สร้าง Along With the Gods : The Two Worlds (2017) และ Along With the Gods : The Last 49 Days (2018) ที่โด่งดังติดอันดับ Top box office ตลอดกาลอันดับ 1 และ 12 มาแล้ว (ตามลำดับ)
ครั้งนี้เขาพลิกมุมมาทำหนังไซไฟอวกาศเป็นครั้งแรก และถูกจับตาก่อนฉายว่าเป็นหนังเด่นในกลุ่ม BIG4 ของซัมเมอร์ 2023 นี้ ซึ่งมี Smugglers, Concrete Utopia, Ransomed แต่ผลตอบรับที่ได้นั้นกลับไม่ค่อยดีนัก ห่างไกลจุดคุ้มทุน และห่างชั้นจากทั้งสามเรื่อง โดยเฉพาะสองเรื่องแรกที่ยอดผู้ชมทะลุหลายล้านได้อย่างชิล ๆ อย่างไรก็ตาม The Moon ก็ขายลิขสิทธิ์ไปล่วงหน้าถึง 155 ประเทศทั่วโลก มาดูกันว่า The Moon มีข้อเด่นและข้ออ่อนอะไรบ้างในมุมมองของผู้เขียน
บทความที่เกี่ยวข้อง : ผู้กำกับคิมยงฮวา เปิดใจถึงภาพยนตร์ชุด Along with the Gods พร้อมยืนยันดึงตัว “ดีโอ EXO” แสดงในภาค 3 แล้ว!
The Moon เล่าถึงความพยายามขององค์การอวกาศนาโรของเกาหลีใต้ ที่จะส่งยานอวกาศแบบมีนักบินควบคุมไปด้วย ลงเหยียบดวงจันทร์เพื่องานสำรวจวิจัย ซึ่งถ้าทำสำเร็จก็จะเป็นประเทศที่สองรองจากสหรัฐอเมริกา ชื่อเสียงจะเปลี่ยนไปจากการเป็นประเทศปลายแถว
ก่อนหน้านี้หลายปีที่แล้ว นาโรเคยส่งยานอวกาศขึ้นไปแล้วครั้งหนึ่งแต่ล้มเหลว นอกจากสูญเสียนักบินแล้ว ยังสูญเสีย ฮวังกยูแท (บทรับเชิญโดย อีซองมิน) ผอ.ผู้รับผิดชอบโครงการที่รู้สึกผิดจนปลิดชีวิตตัวเอง ส่วน ผอ.เพื่อนร่วมงานคนสนิท คิมแจกุก (รับบทโดย โซลคยองกู) ก็ลาออก ปลีกวิเวกไปหมกตัวทำงานวิจัยอยู่ในศูนย์เล็ก ๆ บนเขาห่างไกล
ยานอวกาศชื่ออูรีที่ถูกปล่อยไปดวงจันทร์เที่ยวนี้ มี 3 นักบิน คือ ผู้พันอีซังวอน (บทรับเชิญโดย คิมแรวอน) เป็นหัวหน้าทีม ผู้กองโจยุนจง (บทรับเชิญโดย อีอีคยอง) และน้องเล็ก ฮวังซอนอู (รับบทโดย โดคยองซู) ซึ่งเป็นลูกชายของฮวังแทกยู เดิมเขาเป็นทหารหน่วยซีล แต่มาร่วมภารกิจนี้เพราะต้องการชดเชยแก้ไขความผิดของพ่อ
โชคร้ายที่ยานอูรีก็ประสบอุบัติเหตุไม่คาดคิด อันเนื่องจากลมสุริยะ (คืออนุภาคพลังงานแรงสูงที่หลุดกระจายออกมาจากดวงอาทิตย์) ทำยานจรวดเสียหายและกลืนร่างผู้พันกับผู้กองสูญไปในห้วงอวกาศ ฮวังซอนอูที่ต้องคุมสติ ปรับตัวพึ่งพาตัวเองในการควบคุมยานร่วมกับภาคพื้นดินที่นาโร ฟันฝ่าปัญหาต่าง ๆ จนสามารถนำยานแลนเดอร์ (คือยานส่วนที่นำลงจอดบนพื้นผิวได้) ลงบนดวงจันทร์และเก็บดินเก็บน้ำกลับมาเพื่องานวิจัยต่อที่โลก
ห้วงอวกาศที่กว้างใหญ่และพร้อมเกิดภัยไม่คาดคิดได้เสมอ ฝนดาวตกที่ตามมาจากลมสุริยะ ก็กระหน่ำใส่การทำงานของฮวังซอนอูให้ต้องดิ้นรนสู้ แก้ปัญหาเฉพาะหน้า โดยในช่วงที่ยังมีสัญญาณสื่อสาร ก็มีทีมของนาโร ซึ่งมี ผอ.จองมินกยู (รับบทโดย พัคบยองอึน) และ คิมแจกุก ที่เข้ามาเป็นตัวยืนช่วยเฉพาะกิจ รวมถึงการประสานงานของคิมแจกุกที่ขอความช่วยเหลือไปยัง ยุนมุนยอง (รับบทโดย คิมฮีแอ) ผอ.ขององค์การนาซ่าซึ่งคุมยานลูน่าร์เกตเวย์ (คือสถานีในรอบวงโคจรดวงจันทร์)
ปัญหาของเทคนิคขัดข้อง ตัวแปรธรรมชาติที่ควบคุมไม่ได้ และอุปสรรคของวิถีคิดแบบการเมืองทั้งระดับภายในประเทศหรือข้ามชาติ เรียงรายเกิดแล้วเกิดเล่า จากความขลุกขลักไปจนถึงขั้นถอดใจ ยิ่งเมื่อการสื่อสารระหว่างภาคพื้นกับฮวังซอนอูขาดหายไป ยิ่งหมายถึงการต้องเอาชีวิตรอดโดยลำพังของเขา ณ ที่เวิ้งว้างไกลสามแสนกว่ากม. จากโลก ท้ายสุดแล้วเขาจะถูกช่วยเหลือกลับบ้านมาได้หรือไม่ อย่างไร
ว่ากันด้วยประเด็นแรก ความเป็นหนังไซไฟอวกาศอาจดูสดใหม่กับเกาหลี แต่ต้องยอมรับว่าผู้คนส่วนใหญ่คุ้นเคยจำเจไปแล้วกับฟากฮอลลีวู้ดที่ผลิตแนวนี้มาบ่อย และปฏิเสธได้ยากว่าเรื่องอวกาศเป็นสิ่งไกลตัว ต้องอาศัยความรู้เฉพาะระดับหนึ่งจึงจะเข้าถึงได้อิน ๆ ไหลลื่น ศัพท์เทคนิคเต็มไปหมด แม้จะให้ฟิลขลังเป็นโปรเฟสชันนัลและสมจริงดี แต่ก็เรียกว่าย่อยยากเลยหละ
ประเด็นที่สอง เนื้อหาของเรื่องราวที่ค่อนข้างจำเจตามสูตรสำเร็จดราม่ามากเกินไป ผู้ชมที่ช่ำชองผ่านหนังมาเยอะก็อาจรู้สึกเบื่อกับความตั้งอกตั้งใจประดิษฐ์ปมและบทบีบคั้นความรู้สึกมากไป ความพยายามสอดแทรกน้ำดี เช่นทัศนะนับนักบินอวกาศเป็นสัญชาติเดียวกันทั่วโลก หรือทัศนะการทำเพื่อส่วนรวมของโลก ก็เป็นความโลกสวยที่แลนด์ดิ้งง่าย ๆ ที่อาจดูผิว ๆ ไปหน่อย หรือการยัดเยียดคาแรคเตอร์ประเจิดประเจ้อให้กับ รัฐมนตรี (รับบทโดย โจฮันชอล) ก็ดูขัดตาเกินไป
ประเด็นที่สาม หนังค่อนข้างยาว และมีความเนิบสอดคล้องกับลีลาของพล็อตห้วงอวกาศ ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ดูมีเหตุมีผล แต่เนื้อหาส่วนอื่นก็เลยเหมือนถูกล็อคให้จังหวะไม่โดดกันมาก บวกกับนานาอุปสรรคที่ตัวเอกต้องเผชิญแล้วเผชิญเล่า เพื่อให้หนังมีอารมณ์ลุ้นพีคระทึกหลายช่วง จึงทำให้เรื่องราวยืดยาวขึ้นไปอีก เรียกว่าในข้อดีก็มีข้อเสียอยู่ด้วยกัน
ส่วนมุมดี ๆ ที่น่าชื่นชมคือ คุณภาพงานโปรดัคชั่นระดับ 4K ทีมโปรดิวเซอร์และผู้กำกับทำงานมาอย่างพิถีพิถันมาก ซีจีละเอียดสวย มุมกล้อง การเคลื่อนกล้อง แสงสี ซาวน์ดีงาม เก็บรายละเอียดของภาพ บิวด์อารมณ์คล้อยตามได้ดี ฉากตื่นเต้นชวนลุ้นที่ทำให้นึกเสียดายจังที่ไม่ได้เลือกดูในโรง IMAX นอกจากนี้มีหลาย ๆ ฉากที่ไม่ต้องโหมมากกลับกินใจดี เช่นการวางชุดของผู้พันและผู้กองบนพื้นดวงจันทร์ การพยายามสุดชีวิตในการปกป้องสิ่งของที่จะกลายเป็นของต่างหน้าของครอบครัวพวกเขา หรือคู่หูพระเอกตัวจริง มารู ซึ่งเป็นโดรนอัจฉริยะ เป็นต้น
ส่วนที่ดีงามมาก ๆ เลยต้องขอยกให้ โดคยองซู งานยากไม่ใช่แค่การแสดงเป็นนักบินอวกาศไร้น้ำหนักเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของการถ่ายทอดสีหน้าแววตาและน้ำเสียง ส่งพลังผ่านช่องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ของหมวกอวกาศมาสะกดสายตาและอารมณ์ผู้ชมได้อย่างน่าประทับใจมากจริง ขอปรบมือค่ะ
โดยรวม ถ้าตั้งใจชมโดยให้คะแนนในความเป็นตัวของหนังเรื่องนี้เอง โดยไม่อิง Reference เดิมอื่น ๆ ที่มีในหัว ก็นับว่าสนุกพอตัวเลยค่ะ และรู้สึกคุ้มค่าตั๋ว เพราะงานเค้าทำมาอย่างทุ่มเทจนได้คุณภาพขนาดนี้ ควรสนับสนุนเลยค่ะ
Trailer :
ติดตามบทความรีวิวอื่นๆ ข่าวสารบันเทิงเกาหลี หรือพูดคุยกับ WARUMANU ได้ที่ เพจมูฟวีข้ามวันซีรีส์ข้ามคืน
ติดตามข่าวสารและสิ่งที่น่าสนใจจากเราได้ที่
Facebook Fanpage : facebook.com/korseries
Twitter : twitter.com/korseries
Website : korseries.com
Youtube : Korseries
ขอความกรุณาไม่คัดลอก-ดัดแปลงบทความไปโพสต์ลงในเพจ-สำนักข่าวอื่น รวมถึงไม่นำบทความไปอ่านลง YouTube หรือแพลตฟอร์มใด ๆ โปรดช่วยแชร์เป็นลิ้งก์นะคะ ♡