The Classic ตำนานหนังรักขึ้นหิ้งแนวโรมานซ์ดรามา ผลงานของควักแจยอง นักเขียน/ผู้กำกับซึ่งประสบความสำเร็จอย่างสูงมาจากเรื่อง My Sassy Girl ปี 2001 (ยัยตัวร้ายกับนายเจี๋ยมเจี้ยม) หลังจากนั้นเขาก็เขียนบท และ/หรือ กำกับอีกหลายๆเรื่องดังๆ เช่น Windstruck (2004), My Mighty Princess (2008), Time Renegades (2016) และยังไปเขียนบท/กำกับให้หนังญี่ปุ่นด้วย เรื่อง Cyborg She (2008) คอนเฟิร์มว่าสนุกทุกเรื่องที่เอ่ยมา
เรื่องนี้มีชื่อไทยว่า ‘คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต’ ซึ่งเล่าถึงรักแรกพบที่อยู่ในหัวใจของเขาและเธอไปตลอดชีวิต แม้จะไม่สามารถร่วมกันเดินให้ถึงสุดปลายทางได้ แต่รักนั้นก็กลายเป็นความทรงจำที่ถูกถ่ายทอดผ่านไปสู่รุ่นลูก ที่บังเอิญได้พบกับความรักที่มีเรื่องราวคล้ายกับรุ่นพ่อแม่ หนังจะเล่าชีวิตรักของทั้ง 2 generations สลับกันไปมาตลอดเรื่อง
จีฮเย (รับบทโดย ซนเยจิน) และเพื่อนสาว ซูคยอง เป็นนักศึกษาในชมรมละครเวทีของมหา’ลัย ต่างก็ปิ๊งหนุ่มในชมรมที่ทั้งเก่งทั้งหล่อคือ ซังมิน (รับบทโดย โจอินซอง) จีฮเยปิ๊งแอบๆไว้ในใจ แต่ซูคยองจีบจะๆเลย แถมยังมักไหว้วานจีฮเยเขียนอีเมล์รักให้แทนด้วย เพราะไม่รู้หรอกว่าจีฮเยก็แอบชอบซังมินเช่นกัน จีฮเยจึงได้แต่คอยหลบหน้า และหลีกทางให้เพื่อนได้สมหวัง
วันหนึ่งขณะที่จีฮเยกำลังเก็บจัดหนังสือเก่ารกๆในบ้านให้เข้าที่ ทำให้เธอได้พบกล่องไม้เก็บจดหมายรักของพ่อที่เขียนถึงแม่ แว๊บแรกก็ชวนอมยิ้มเอ็นดูกับสำนวนหวานเลี่ยนๆตามยุคของพ่อ และสะดุดตาที่ในนั้นมีจดหมายส่งจากใครที่เธอไม่รู้จักชื่อ จุนโฮ ปะปนอยู่ด้วย แต่จากไดอารีของแม่ที่เก็บอยู่ด้วยกัน ทำให้เธอได้รับรู้เรื่องราวชีวิตรักของแม่ที่มีทั้งความหวานซาบซึ้งและการเผชิญหน้ากับอุปสรรครักอย่างอดทนแม้จะเจ็บปวด
เรื่องราวในปี 1968 จึงถูกเริ่มต้นเล่าเรียงขึ้น ณ ชนบทแห่งหนึ่ง แม่ของจีฮเยคือ จูฮี (รีบบทโดย ซนเยจิน) (เพราะเธอเล่น 2 บท ให้สังเกตเบื้องต้นว่าในช่วงแรกๆ ถ้าเยจินถักเปียจะเป็นจูฮีค่ะ) เด็กสาวจากเมืองซูวอน (ซึ่งถือเป็นเมืองใหญ่ใกล้ๆโซล อยู่ในเขตจังหวัดคยองกีเหมือนกัน) เธอเป็นลูกสาวของสส. เดินทางกลับบ้านเกิดเพื่อเยี่ยมเยียนปู่ ระหว่างทางได้เจอกับกลุ่มเด็กหนุ่มกำลังเล่นสนุกอยู่ริมลำธารข้างทางทักทายเธอเข้า หนึ่งในนั้น คือ จุนโฮ (รับบทโดย โจซึงอู) ความอยากรู้อยากเห็นของสาวเมืองต่อชีวิตชนบทธรรมชาติ จึงชักชวนขอเจ้าถิ่นสักคนที่พายเรือเป็น พาเที่ยวอีกฟากของแม่น้ำ มีหรือที่จุนโฮจะปล่อยโอกาสทองหลุดลอยไป เขารีบสมอ้างว่าพายเป็น พร้อมเป็นไกด์พาเที่ยวเอง เอาจริงก็กลายเป็นทริปพายเรือวนในแม่น้ำ 555 แต่ก็ถึงที่หมายได้ในที่สุด ได้เที่ยวเล่นบ้านร้างลึกลับของอีกฟากแม่น้ำอย่างสนุกสนาน
วันนั้น ฝนตกหนักทำให้เรือที่พายมาลอยเติ่งออกไปกลางแม่น้ำ กลับบ้านกันไม่ได้ จึงเกิดฉากค้างคืนติดฝนที่เพิงทุ่งเดียวดาย ชวนนึกถึงหนังไทยมากเลย 555 แต่อย่าหวังอะไรในกอไผ่ เพราะนี่คือหนังเกาหลีค่ะ ก็แค่เขาทั้งสองมีใจตรงกัน มีหิ่งห้อยเรืองแสง (ใต่ต้นลำพูรึเปล่า มิได้บอกไว้ 555) เป็นสื่อรัก โรแมนติคเชียวค่ะ
เช้ารุ่งขึ้นเมื่อฝนหยุด ปู่และบ่าวไพร่ กรูกันมารับจูฮีกลับบ้าน แม้จุนโฮจะมาจากเมืองซูวอนเช่นกัน แต่ก็เป็นแค่เด็กโนบอดี้ต่ำต้อยที่เทียบชั้นไม่ได้กับศักดิ์ศรีครอบครัวจูฮี จึงถูกรังเกียจเดียดฉันท์ ก่อนจากกัน จูฮีได้แอบมอบสร้อยคอไว้ให้จุนโฮเป็นที่ระลึกถึงกัน
เพื่อนรักของจุนโฮ คือ แทซู (รับบทโดย อีกีอู) เป็นลูกชายพ่อค้าใหญ่ของเมือง แทซูเป็นเด็กซื่อๆเกรียนๆ ที่มักไหว้วานจุนโฮเขียนจดหมายรักสวยหรูให้คู่หมั้นของเขาที่พ่อได้เตรียมการไว้ให้ ซึ่งสาวคู่หมั้นนั้นก็คือ จีฮู นั่นเอง!
ความรักแอบซ่อนปิดบังของจีฮูกับจุนฮาก็ยังดำเนินต่อไป ยามกายต้องห่าง ใจก็ยังเชื่อมถึงกันได้ด้วยจดหมายรัก (งานถนัดของทั้งคู่ 555) เมื่อแทซูได้รับรู้ความจริงและยินดีจะเป็นคนถอยให้เพื่อนรัก แต่พ่อของแทซูรู้เรื่องเข้า จึงโกรธจนทำโทษเฆี่ยนตีแทซูด้วยเข็มขัด ทำให้แทซูที่น่าสงสารคิดฆ่าตัวตาย
จุนโฮจึงตัดสินใจยุติเรื่องราวเพื่อแทซู เขาคืนสร้อยคอให้จีฮู และหนีไปเป็นทหารเข้ารบในสงคราม แทซูและจีฮูได้ตามไปทันส่งจุนโฮ และจีฮูก็ยังมอบสร้อยคอเส้นเดิมไว้กับจุนโฮเพื่อหวังให้เขามีชีวิตรอดกลับมา
แม้ว่าในที่สุดจุนโฮได้กลับมาจริง แต่ก็เป็นการกลับมาพร้อมกับสิ่งที่ยังความเจ็บปวดมากมายให้หัวใจของจีฮูจนยากจะแก้ไขใดกลับคืนได้
เรื่องราวความเสียสละของชายคนรักของแม่ ทางเลือกของเขาที่ทำให้ชีวิตแม่จำต้องเบี่ยงเบนไปจากเส้นทางหัวใจรักที่ปรารถนา จึงเป็นบทเรียนมีค่าที่ทำให้จีฮเยฉุกคิดตัดสินใจเรื่องความรักของเธอด้วยมุมมองใหม่ ทันทีที่เธอพบว่า ซังมิน มีใจให้เธอ มิใช่ซูคยอง เธอจึงพาตัวเองออกจากการเป็นคนรักเงา (หมายถึงอยู่เบื้องหลังการเขียนจดหมายรักแทนคนรักตัวจริง) ความรักที่เธอจะต้องรีบคว้ามันไว้มิให้หลุดมือ
ยังมีเบื้องหลังชีวิตปลายทางของ จีฮู จุนโฮ แทซู ที่ผูกเชื่อมโยงมาสู่ จีฮเยกับซังมิน ประหนึ่งเป็นชะตาฟ้ากำหนด ทิ้งไว้ให้ผู้ชมไปติดตามกันเองต่อแล้วกันนะคะ
When the sun shines on the sea, I think of you
ยามใด ตะวันสาดแสงส่องผืนทะเล ยามนั้น…ผมคิดถึงคุณ
When the dim moonlight is on the spring, I think of you
ยามใด จันทรายอแสงผ่านวสันตฤดู ยามนั้น…ผมคิดถึงคุณ
เป็นบทประพันธ์สื่อความรักที่จุนโฮมอบไว้ให้จูฮี (ผู้เขียนพยายามแปลให้มีความหวานเลี่ยนตามที่จีฮเยว่าไว้ 555) ช่างน่าแปลกใจที่บังเอิญมันเป็นบทเดียวกับซังมินเลือกนำมาใช้สารภาพรักกับจีฮเย
ด้วยว่าความโดดเด่นของหนังเรื่องนี้มีมากมาย มีความงดงามเชิงศิลปะบันเทิงมาก ตั้งแต่บทที่มีความสวยงาม อิ่มเอมใจ ผนวกกับดาราที่ถ่ายทอดบทรักได้เป็นธรรมชาติ ดูละมุนละไม ท่ามกลางบรรยากาศงามๆ วิวสวยๆภาพอิ่มๆ เก็บกลิ่นอายงานย้อนยุคได้ดี แล้วยังเสริมด้วยดนตรีและเพลงประกอบไพเราะสุดๆ พาอารมณ์คนดูคล้อยตามอย่างเพลิดเพลินจนจบเรื่องแบบไม่รู้ตัว และจบด้วยอารมณ์หัวใจเบ่งบานมาก
ด้านอรรถรสก็ช่างกลมกล่อมลงตัว บทจะฮาก็เต็มที่ ชวนขำในเบอร์น่ารักน่าเอ็นดู บทจะเศร้าซึ้งก็สะเทือนหัวใจจนกลั้นน้ำตากันไม่อยู่ทีเดียวเลยแหละ ฉากตื่นเต้นเร้าใจในสนามรบก็มีให้ดูด้วยนะเล็กน้อย
ผู้เขียนเองปกติมักไม่ดูหนังซ้ำเรื่อง ไม่ใช่ไม่ชอบนะ แต่ไม่เคยมีเวลาทำเช่นนั้นได้ แต่สำหรับเรื่องนี้ผู้เขียนดูไปสัก 4-5 รอบได้แล้วมั้ง พักๆหยิบมาดูทีไร ก็ยังได้อารมณ์ประทับใจเหมือนเดิม ไม่เคยเปลี่ยน ไม่เคยลดน้อยลงไปเลย คลาสสิคสมชื่อจริงๆค่ะ ชอบเพลงมากที่สุด ซีนประทับใจมีมากมาย และชอบรายละเอียดบางอย่างของบทที่รู้สึกได้ว่า ผู้กำกับเค้าฉลาดคิดและใส่ใจในรายละเอียดได้อย่างมีเสน่ห์มาก เช่น
- จุนโฮใช้สัญญาณกระพริบหลอดไฟที่เสาไฟฟ้าหน้าบ้านจูฮี มันพ้องกับสื่อรักของเขาทั้งคู่ที่เป็นหิ่งห้อยเรืองแสง
- ฉากจีฮเยกับซังมินวิ่งฝ่าสายฝนใต้เสื้อคลุมตัวเดียวร่วมกัน อันที่จริงก็เคยเห็นมาแล้วจากหนัง Christmas in August (1998) แล้ว แต่เรื่องนี้ขยายต่อตรงที่จับภาพให้เห็นจังหวะเท้าย่ำน้ำลงไปพร้อมๆกัน มันมีนัยสื่อจังหวะความรักที่ลงตัวของทั้งสองได้สวยงามดี ฉากวิ่งใต้เสื้อคลุมฝ่าฝนนี่เป็น classic shot จริงๆที่ใครๆมักหยิบมาล้อเลียนกันบ่อยๆจวบจนปัจจุบัน
- ฉากเก๋ๆที่จีฮเยเดินเข้า Exhibition hall หน้าโรงละคร จังหวะที่เดินไป ขนานกันไปกับคนแบกงานโครงสร้างเดินสวนคั่นกลางกับ การเดินคู่ของซังมินและซูคยองที่อยู่อีกด้าน แม้ว่าจริงๆแล้ว ฉากนี้ดูคุ้นตาอยู่ อาจมาจากหนังฝรั่งใดสักเรื่องที่ยังนึกมิออก แต่ก็ชอบนะ
- กิมมิคเรื่องร่มของซังมินและการย้อนกลับมาเฉลยเรื่องราว ก็ดูน่ารัก ผูกร้อยเรื่องราวได้น่าสนใจ และแปลกใหม่มากในยุคของหนังเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว
อย่างไรก็ตาม จุดติก็ยังมีบ้างนะ ด้วยความที่หนังใช้เวลากับเรื่องราวของรุ่นพ่อแม่เยอะ ทำให้รุ่นลูก เรื่องราวอาจดูรวบรัดไปนิด ทำให้ไม่ได้บิ้วท์ที่มาว่าซังมินรักจีฮเยได้อย่างไร หรือ รวบตัดความสกิปหายไปไหนไม่รู้ และในตอนท้ายเรื่องที่ว่าจีฮเยจำสร้อยคอของแม่ได้อย่างไร หรือฉากที่รบกวนจิตใจพอดูคือ ซังมินใช้ความรุนแรงตบหน้าซูคยอง อันนี้ดูหลุดวิสัยสุภาพบุรุษพระเอกเกาหลีไปหน่อยนะ
ส่วนตัวชอบซนเยจิน โจซึงอู และอีกีอู ในเรื่องนี้มาก แสดงได้ดี โจซึงอูตาหยีน่ารักจริงๆ สมัยนั้นยังมีฟันเกเป็นกระต่ายเป็นธรรมชาติดี ปัจจุบันจัดฟันไปเรียบร้อยละ แต่สำหรับโจอินซอง ผู้เขียนรู้สึกว่าเขาแสดงได้ไม่สุด อาจยังเป็นช่วงที่ฝีมือยังไม่พัฒนาถึงจุดก็ได้มั้ง แต่ปัจจุบันก็ชอบฝีมือเขาแล้วนะ
ทิ้งท้ายด้วยรายการรางวัลมากมายของหนังเรื่องนี้ เพื่อตอกหมุดการันตีความดีงามที่ยอมรับกันถ้วนทั่วสากลค่ะ
2003 : 39th Baeksang Arts Awards: Best New Actress ซนเยจิน
2003 : 40th Grand Bell Awards: Best New Actress ซนเยจิน
2003 : 24th Blue Dragon Film Awards: Popular Star Award ซนเยจิน
2003 : 2nd Korean Film Awards: Best Music
2004 : 9th Moscow International Love Movie Awards: Best Couple โจซึงอูและซนเยจิน
2004 : Hong Kong Film Awards: Nominated, Best Asian Film
OST. : เพลง Me to you, You to me และเพลง If we are in love, then เพราะมากๆ ฟังได้ไม่มีเบื่อ