Svaha : The Sixth Finger เป็นหนังใน genre ลุ้นระทึกลึกลับ มีปมปริศนาให้ขบคิด ด้วยพลอตที่แหวกแนวน่าสนใจดีสำหรับความเป็นงานเกาหลี หยิบบางมุมของปรัชญาทางศาสนาและลัทธิความเชื่อหลายๆอย่างมาผสมผสานดัดแปลงเสริมบันเทิงได้แยบคายดี การสืบสวนที่ชวนติดตามจากสองเส้นเรื่องซึ่งจับมาผูกโยงกัน คือภัยสังคมจากศรัทธาลวงโลก และภัยอาชญากรรมที่คร่าชีวิต
ความน่าสนใจที่สะดุดผู้เขียนตั้งแต่วันแรกของการโปรโมตหนัง คือชื่อเรื่อง อ่านปุ๊บก็สัมผัสได้ถึงความพิกลลี้ลับ มีกลิ่นอายมนต์ขลัง ‘หกนิ้ว’ อาจสื่อถึงความเป็นสิ่งแปลกหาได้ยาก และหลังจากไปค้นคว้ามา ‘สวาหะ’ เป็นคำมาจากภาษาสันสกฤต ที่มีรากศัพท์แปลตรงตัวได้ว่า ‘พูดดี’ ถูกนำมาใช้ในความหมายของการทักทายหรือแสดงความยินดีต้อนรับ ถูกนำไปใช้เอ่ยเป็นคำสร้อยประกอบพิธีกรรมบูชาไฟศักดิ์สิทธิ์ตามคัมภีร์พระเวท และกลายมาเป็นคำลงท้ายในบทสวดมนต์ มีผู้เชี่ยวชาญพุทธศึกษาเสนอไว้ว่า สวาหะบ่งชี้ความเป็นองค์เทพเพศหญิง เมื่อชมจบเรื่องก็จะถึงบางอ้อว่าทำไมจึงเลือกตั้งชื่อ ‘Svaha’
หนังเปิดเรื่องที่ปี 1999 ด้วยเหตุการณ์ของครอบครัวหนึ่งในหมู่บ้านชนบทเมืองยองวอล จ.คังวอน ได้ให้กำเนิดเด็กแฝดหญิง ประหนึ่งต้องคำสาป ท่ามกลางอาเพทที่เกิดกับเหล่าสัตว์เลี้ยง เช่น แพะ (ในบางลัทธิจะใช้แพะเป็นสัตว์บูชายัญ) แฝดพี่คลอดมาด้วยรูปลักษณ์กึ่งสัตว์ ตัวปกคลุมด้วยขน แฝดน้องเหมือนคนปกติ แต่ขามีแผลเหวะหวะซึ่งถูกพี่สาวปีศาจกัดกินระหว่างอยู่ในท้องแม่
หลังคลอดแม่ก็ตาย แล้วพ่อก็ตายตามในเวลาต่อมา ตาและยายจึงเลี้ยงดู อีกึมฮวา (รับบทโดย อีแจอิน) และกักขังแฝดพี่ไว้ในโรงเก็บของหลังบ้านเหมือนขังสัตว์ร้ายมาตลอด 15 ปี ไม่มีการแจ้งเกิด ไม่มีใครได้พบเห็น (ผู้ชม ก็ไม่เห็นเหมือนกัน แค่แพลมๆให้รู้ว่าน่ากลัว) มีงูป้องภัยยามใครบุกรุกเข้าใกล้หรือเข้ามาสอดรู้สอดเห็น กึมฮวาเป็นคนคอยส่งอาหารทิ้งไว้หน้าร่องประตูโรงกักขังที่มืดมิด ยายพึ่งพาไสยศาสตร์ สวดมนต์อิงสายคริสต์ ปกป้องกึมฮวามา สาวน้อยขากระเผลกมาตลอด และครอบครัวของเธอก็อยู่กันอย่างเก็บตัว เมื่อใดที่มีปัญหาก็ย้ายบ้าน
ในปี 2014 ยุคเสรีภาพของการนับถือศาสนา ผู้คนต่างเลือกสิ่งยึดเหนี่ยวทางใจตามแต่ศรัทธา มิจฉาชีพก็แฝงตัวหาผลประโยชน์ เกิดเป็นองค์กรหรือสำนักที่หลอกลวงอ้างตัวเป็นศาสดาหรือเผยแพร่หลักธรรมปฏิบัติผิดๆ เป็นเครื่องบังหน้าก่ออาชญากรรมทางการเงิน หรือคุกคามสวัสดิภาพ ก็จัดเป็นภัยสังคมอีกแบบหนึ่งที่ต้องมีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านช่วยสืบเสาะ วิเคราะห์ อันไหนจริงอันไหนปลอม และเปิดโปงให้สังคมได้รู้กัน
ศาสนจารย์พัคอุงแจ (รับบทโดย อีจองแจ) แห่งสถาบันวิจัยศาสนาตะวันออกไกล คือคนที่ทำหน้าที่นั้น แม้จะมีคำนำหน้านามเป็นศาสนจารย์ ก็ใช่ว่าจะเชื่อถือในพระหรือศาสนา ที่ทำอยู่ก็เป็นเพียงอาชีพทำมาหากิน สำนักงานเก่าๆเล็กๆของสถาบันก็ไม่ได้มีใครมากไปกว่าตัวเขา ผู้ช่วยชิม (รับบทโดย ฮวังจองมิน) ที่ทำงานธุรการ และ ผู้ช่วยภาคสนาม ที่ทำหน้าที่นักสืบคือ โยเซฟ (รับบทโดย เดวิดอี) ความต้องอยู่รอดของสำนักงานนี้ ทำให้ ‘เงิน’ กลายเป็นเป้าหมายเช่นกัน การเผยแพร่บทความ ต้องมีค่าตอบแทน หรือการเป็นวิทยากร ก็จะตามด้วยการรับบริจาค ดีกรีความอื้อฉาวจะถูกชงและปั่นตามผลตอบแทน ทำให้เขาตกอยู่ท่ามกลางทั้งความชื่นชมและความเกลียดชังของกลุ่มคนที่ต่างกลุ่มกันในสังคม
ศาสนจารย์พัคมีพระนักบวชสายพุทธ ซึ่งเป็นรุ่นน้องสมัยเรียน ชื่อ พระแฮอัน (รับบทโดย จินซอนคยู) คอยช่วยให้คำปรึกษาในการตีความทางศาสนา หรือข้อมูลในปรัชญาคำสอน รวมทั้งการสืบสวนเรื่องราวสำคัญที่หนังจะเล่าต่อไป พระแฮอันสังกัดอยู่กับสำนักสงฆ์ที่มีหัวหน้าคณะอาวุโส ซึ่งศาสนจารย์พัคไม่ค่อยถูกชะตาด้วย จึงมักเรียกท่านลับหลังว่า พระหัวปลาหมึก (รับบทโดย ชาซุนแบ) เพราะท่านดูจะมองทะลุเจตนาแฝงของเขาเสมอ
เมื่อศาสนจารย์พัคเริ่มสนใจกลุ่มชุมนุมทางศาสนา’เนินกวาง’ ที่จ.คังวอน ซึ่งเป็นกลุ่มเล็กๆที่ดูเรียบร้อยผิดสังเกต เช่น ไม่รับของ ให้แต่ทาน การสืบสอดแนมจนทยอยได้ข้อมูลมาปะติดปะต่อเรื่องราวได้ว่า กลุ่มนี้เป็นสายพุทธนิกายวชิรยาน (คือ พุทธทิเบต) บูชาแม่ทัพซึ่งเป็นจตุโลกบาลผู้พิทักษ์ประจำสี่ทิศ ได้แก่ ท้าวดามุน-ทิศเหนือ ท้าวจึงจาง-ทิศใต้ ท้าวจีกุก-ทิศตะวันออก ท้าวควางมก-ทิศตะวันตก ซึ่งมีตำนานว่า เหล่าจตุโลกบาลนี้เคยเป็นมารทำชั่วมาก่อน เมื่อได้พบพระพุทธเจ้า เกิดศรัทธาและเดินตามคำสอน จึงหันมาต่อสู้กับความชั่ว เอาชนะสงครามแห่งอสรพิษ ด้วยแสงแห่งพระพุทธคุณ จนได้ขึ้นสวรรค์เป็นพุทธองค์ไปด้วย
ในขณะที่ตำรวจบังเอิญพบศพเด็กหญิงมัธยมแห้งตายในผนังปูนของทางลอด ในปากศพมีผ้ายันต์ห่อเม็ดถั่วสื่อว่าเกี่ยวข้องกับพิธีกรรม การสืบสวนของผู้กองฮวัง (รับบทโดย จองจินยอง) นำมาถึงผู้ต้องสงสัย คิมชอลจิน (รับบทโดย จีซึงฮยอน) ซึ่งระบุที่อยู่ที่สำนักเนินกวาง แต่ไม่ทันได้ถึงตัวคิมชอลจิน ก็พบว่าเขาโดดตึกฆ่าตัวตายไปเสียก่อน
และสองเส้นเรื่องก็มาบรรจบกันเมื่อศาสนจารย์พัคพบความจริงจากการสืบต่อไปเรื่อยๆว่า คิมชอลจิน นี่แหละ ที่มีความเชื่อว่าตัวเองคือเทพโลกบาลจีกุก ส่วนอีกสองได้เสียชีวิตไปก่อนหน้านี้แล้ว ตอนนี้เหลือเพียงท้าวควางมก ซึ่งคือ นาฮัน (รับบทโดย พัคจองมิน) ทั้งสี่คนเคยเป็นเด็กต้องคดีฆ่าพ่อแม่ และมาอยู่ที่สถานพินิจยางจูใน จ.คังวอนเหมือนกัน โดยมี คิมเจซอก (รับบทโดย จองดงฮวาน) เป็นพ่อทูนหัวรับอุปการะเติบโตมา
ชื่อพุงซาคิมเจซอก เป็นผู้เขียนคัมภีร์ซึ่งศาสนจารย์พัคไปค้นมาได้จากสำนักเนินกวาง นำมาสู่การสืบค้นข้อมูลเพิ่มจากพระปลาหมึกว่า คิมเจซอกเกิดในปี 1899 ที่เมืองยองวอล เขาเป็นที่นับถือจากผู้คนในสังคมทั้งทางโลกและทางธรรม เป็นผู้ก่อตั้งทงบังกโย (หมายถึงกลุ่มสาวกความเชื่อหรือนิกาย) ในด้านทางโลกคือช่วยชาติในยุคกู้เอกราชจากญี่ปุ่น ในทางธรรม เขาอยู่ในสายพุทธวชิรยานที่เผยแพร่ในญี่ปุ่น ถูกเรียกขานเป็นพุงซาคิมเจซอก ที่เป็นผู้รู้แจ้ง บรรลุพุทธภาวะเป็นเทพ ยังไม่มีใครทราบชัดว่ามีชีวิตอยู่หรือไม่ หรือเป็นอมตะตามคำร่ำลือ มีแต่ศิษย์ใกล้ชิดที่ได้เคยพบเห็นตัว เคยมีข่าวว่าเขากำลังจะเขียนคัมภีร์ใหม่ และเกิดหายตัวไปก่อน ตั้งแต่ปี 1985 ปีที่เขาได้พบกับพระเกจิทิเบตรูปดัง
ทั้งหมดนำมาสู่การไขปริศนาว่า กลุ่มคนที่อุปโลกน์เป็นเทพจตุโลกบาลเข้ามาเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมเพราะความต้องการเอาชนะสิ่งชั่วร้ายใด จะอธิบายความเกี่ยวข้องกับอีกึมฮวาและพี่สาวของเธออย่างไร คำตอบจะกระจ่างขึ้นได้เมื่อศาสนจารย์พัคตามเจอตัวควางมกหรือนาฮันที่กำลังปฏิบัติภารกิจ และเจอตัวคิมเจซอกซึ่งหลบรักษาตัวในสภาพพึ่งเครื่องช่วยหายใจในที่แห่งหนึ่ง มีศิษย์ข้างกายดูแลคือ คิมดงซู (รับบทโดย ยูจีแท) และ มยองฮี (รับบทโดย มุนซุก) รวมทั้งการไขปริศนาเนื้อหาในคัมภีร์ และตัวเลขอสรพิษ 81 ตัวในนั้นว่าสื่อสิ่งใด นอกจากนี้การได้พบกับพระเกจิทิเบตรูปนั้น ก็จะเป็นอีกหนึ่งจิ๊กซอว์ที่จะทำให้เข้าใจเรื่องราวทั้งหมดได้
คำแนะนำแรก คือ ควรดูรวดเดียวจบอย่างมีสมาธิ เก็บทุกรายละเอียด ตัวใบ้หรือเบาะแส จะทยอยปล่อยมาให้จับปะติดปะต่อไปเรื่อยๆ แรกๆอาจดูเหมือนกระจัดกระจาย แต่สักครึ่งเรื่องก็พอจะจับโยงกันได้
ความดูยากของเรื่องนี้ ก็คงมาจากชื่อตัวละครเยอะ โยงใยไปหลายสเต็ป เรื่องราวก็มีความเป็นจินตนาการ ผสมปนเปกับเรื่องจริง (มีงุนงงได้ อันไหนจริงอันไหนแต่ง 555) ศัพท์เทคนิคทางศาสนาหรือปรัชญามากมาย การตีความหมายนัยก็เยอะอยู่ (เข้าถึงบ้าง ไม่ถึงบ้าง ก็ไม่ต้องซีเรียสนัก)
สำหรับปมปริศนา ก็ถือว่ามีความซับซ้อนพอประมาณ มีเซอร์ไพรซ์บ้าง มีหักมุมบ้างให้ทึ่งบ้าง แต่ถ้าดูดีๆ จะสังเกตเห็น hint ที่หนังปล่อยมาบ้างเล็กๆก่อนจะเฉลยจริงท้ายเรื่อง ซึ่งก็เป็นข้อดีของเรื่องนี้ ที่มีการทยอยคลายปม ไม่งั้นอาจเดี้ยงหนักไปอีกด้วยความยากของเนื้อหาศัพท์แสง
โดยส่วนตัวแล้ว ชื่นชมคนเขียนบทที่ผูกเรื่องเก่ง เนียนมาก แลดูสมจริงชวนเชื่อ สอดแทรกเรื่องราวของปรัชญาศาสนาได้ลงตัว ให้แง่คิด แต่ถ้าไม่อยากคิดจะปวดหัว จะดูเอามันส์เฉยๆ ก็ยังสนุกใช้ได้เลย มีเสียดสีสังคมบ้าง ในเรื่องความเป็นมนุษย์ หรือแม้แต่พระหรือศาสนาก็ไม่มีเว้น งาน Cinematography ภาพ แสง เสียง จัดมาอย่างดีเลย ส่วนใหญ่จะอยู่ในโทน low key อึมครึมลี้ลับ หลอนขนลุก ลุ้นๆ หลายซีนทำได้สวยงาม ปั่นอารมณ์ขึ้น เช่น ฉากบรรยากาศโกดังขังพี่สาวอีกึมฮวา ฉากหลอนจิตควางมกที่นอนมองเพดาน ฉากควางมกไปหาอีกึมฮวาที่บ้าน ซึ่งตัดต่อได้เร้าใจดีเชียว แต่จุดที่ค่อนขัดใจบ้างก็มี ตำรวจดูจะอ่อนบทบาทเกินไป ยิ่งเห็นเป็นดาราระดับจองจินยองแสดง นึกว่าต้องมีอะไรเข้มกว่านี้ น่าเสียดายเลย
ดูจบ ก็ชวนมาตั้งคำถามกับตัวเองว่าแท้จริงแล้ว ‘ผิด’ อยู่ที่ ‘ใคร หรือ อะไร’ น่าคิดดีนะ
Trailer :
https://www.youtube.com/watch?v=enQPwBccLVg