Rampant หรือ นครนรกซอมบี้คลั่ง เป็นภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์อีกเรื่องของปี 2018 ผลงานจากทีมผู้ผลิต Train to Busan หรือ ด่วนนรกซอมบี้คลั่ง (2016) คนเขียนบทคือ ฮวังโจยุน เจ้าของผลงานดังอย่าง Memoir of Murderer (2017) Masquerade (2012) และร่วมเขียนบทภาพยนตร์อีกหลายเรื่อง อาทิ Confidential Assignment (2017) Fatal Intuition (2015) The Beast and the Beauty (2005) Old Boy (2003) ส่วนผู้กำกับคือ คิมซองฮุน ซึ่งเคยร่วมงานกับฮยอนบินมาแล้วใน Confidential Assignment (2017)
Rampant ว่าไปตามชื่อเรื่อง คือการเล่าถึงสิ่งที่อาละวาดพล่านในยุคโชซอน รัชสมัยพระเจ้าอีโจ (รับบทโดย คิมอึยซอง) ผู้ยึดกับอำนาจของตน ปกครองบ้านเมืองจากบนบัลลังก์สูงดุจนั่งหอคอย ฟังความแต่จากขุนนาง มีเสนาบดีกลาโหมคิมจาจุน (รับบทโดย จางดงกอน) เป็นคนสนิท มีนางสนมโจ (รับบทโดย ซอจีฮเย) เป็นสนมคนโปรด ที่มีความสามารถทำนายทายทักพยากรณ์
เมื่อทางการจับข้าราชบริพารที่ลักลอบนำอาวุธปืนมาจากชาติตะวันตก จึงลงโทษในฐานเป็นกบฏซ่องสุมอาวุธเพื่อล้มล้างบัลลังก์ แต่ในความเป็นจริง พวกเขาเป็นทีมทำงานภายใต้องค์รัชทายาทอียอง (รับบทโดย คิมแทอู) ซึ่งทำเพื่อเตรียมปลดแอกโชซอนจากการควบคุมของต้าชิง (คือ จักรวรรดิราชวงศ์ชิงของจีน) ให้ประเทศมีเอกราชเพื่อความสุขของประชาชน แต่เสด็จพ่อหูเบาไปฟังคิมจาจุนแทน ทำให้องค์รัชทายาทอียองยอมฆ่าตัวตาย สละชีพรับโทษแทนลูกน้อง ทิ้งพระชายาและลูกในท้องอย่างโดดเดี่ยว
ก่อนเดินหน้าสู่ความตาย องค์รัชทายาทได้ฝากจดหมายไว้กับขุนนางคนสนิท พัคจงซา (รับบทโดย โจอูจิน) เพื่อให้ส่งข่าวถึงองค์ชายอีชอง (รับบทโดย ฮยอนบิน) พระอนุชาที่ถูกส่งไปเป็นตัวประกันไว้กับต้าชิงตั้งแต่วัยเยาว์ มิเคยได้กลับบ้าน คำขอสุดท้ายในจดหมาย คือการช่วยนำพี่สะใภ้ไปพำนักที่จีน เพราะโชซอนไม่ปลอดภัย จากกบฏขุนนาง และองค์ราชาก็พึ่งพาไม่ได้แล้ว
องค์ชายอีชอง จึงกลับโชซอนเป็นครั้งแรกพร้อมกับผู้ติดตามคนสนิท ฮักซู (รับบทโดย จองมันชิก) องค์ชายผู้มีเปลือกนอกเป็นหนุ่มกรุ้มกริ่ม (ตามปกติ โอรสที่ถูกส่งไปเป็นตัวประกันทางการเมือง ก็เหมือนถูกตัดขาด ไม่มีโอกาสลุกขึ้นมาช่วยประเทศแข็งข้อ และคงเพราะจีนมั่งคั่ง จึงเลี้ยงดูตัวประกันดี เน้นให้อ่อนเขี้ยวเล็บ ตัวองค์ชายเองก็ไม่คิดทะเยอทะยานเรื่องบ้านเมือง เพราะมีพระเชษฐาองค์รัชทายาทที่มีความสามารถอยู่แล้ว จึงไม่คิดจะกลับโชซอน เขาใช้ชีวิตสุนทรีย์ไปวันๆ หน้าตาดีด้วย จึงเจ้าชู้พร่ำเพรื่อไปทั่ว)
ในขณะเดียวกัน ในเรือต่างชาติที่นำสินค้าและอาวุธมาค้าขายกับโชซอน มีคนติดเชื้อผีดิบถูกกักมากับเรือด้วย เมื่อพลาดเกิดการแพร่ระบาด เมืองท่าเรือเจมุลโพจึงกลายเป็นดงปีศาจรัตติกาล กัดกินผู้คนอย่างคลุ้มคลั่ง แต่ในวังกลับละเลย ด้วยถูกคิมจาจุนเพ็ดทูลว่าเป็นเพียงแผนของเหล่ากบฏ จนเมื่อองค์ชายเดินทางมาถึง การเผชิญหน้ากับซอมบี้ผู้ไวต่อเสียงและกลิ่นคาวเลือด พร้อมๆกับการต้อนรับของผู้ประสงค์ร้ายต่อองค์ชาย (อันนี้ก็ไม่ได้มีอธิบายว่า ทำไมองค์ชายจึงเก่งกล้าวิทยายุทธนัก น่าจะต้องแอบฝีกนะ)
อย่างไรก็ตาม องค์ชายก็ได้เจอกลุ่มคนอาสาที่อยากขจัดภัยร้ายของบ้านเมือง ประกอบด้วย ขุนนางพัค ด๊อกฮี (รับบทโดย อีซอนบิน) นักบวชแดกิล (รับบทโดย โจดัลฮวาน) และอีกหลายคน พวกเขาและชาวบ้านพร้อมจะสนับสนุนองค์ชายในฐานะผู้นำของโชซอน
และคืนแห่งความหายนะตัดสินชะตาบ้านเมืองก็มาถึง เมื่อฝูงซอมบี้กระหายเลือดเนื้อยกพลรุกรานเข้าถึงวังหลวงอย่างบ้าคลั่ง องค์ชายและพรรคพวกจะต้องเผชิญกับอะไรบ้าง ต้องไปตามชมกันค่ะ
Rampant จัดว่าเป็นหนังที่ดูสนุกเพลินๆลุ้นๆอีกเรื่อง เนื้อหาย่อยง่าย มีบทและวิธีเดินเรื่องที่ตรงไปตรงมา ไม่ซับซ้อนนัก
แน่นอนว่า ‘ซอมบี้’ สัญชาติเกาหลีวันนี้ไม่ใช่สิ่งสดใหม่ละ ผู้เขียนเองไม่ได้คาดหวังความตื่นตาตื่นใจแบบที่เคยได้จาก Train to Busan แต่ก็สังเกตได้ว่าซอมบี้เรื่องนี้ก็ถูกคิดมาอย่างดี ออกแบบให้มีลีลาที่เข้ากับความเป็นยุคโบราณ ไม่ได้หงิกงอเบรคแดนซ์เท่าในยุค 2016 และเน้นมาที่ความสยดสยองของหน้าตาซอมบี้ จากที่ผู้กำกับโฟกัสในหลายๆชอต ซึ่งถือว่าเมคอัพและแอคติ้งทำได้ดีมาก ดูแล้วได้ฟิลชัดเจนของการลุกลามเชื้อร้ายในตัว จนกลายสภาพเหมือนผีคลั่ง ร่างจะระเบิด และยอมใจกับการเล่นมวลใหญ่ของซอมบี้ ที่แปลว่างานตัวแสดงเอ็กซ์ตร้า เสื้อผ้า หน้าผม เป็นเรื่องใหญ่ของทีมงานที่ขอชื่นชมค่ะ
และแม้ว่าความตื่นเต้นลุ้นรอดจากการถูกไล่ต้อนในพื้นที่จำกัด ก็อาจสู้อารมณ์กดดันในตู้รถไฟไม่ได้ แต่เรื่องนี้ก็ได้ชดเชยด้วยการให้พระเอกผู้แบกมิชชั่นสำคัญ ต้องตกอยู่ในสถานการณ์คับขันคนเดียว ท่ามกลางฝูงซอมบี้ล้อมรอบตัว ส่งให้กลายเป็นฮีโร่ผู้ปกป้องสไตล์หนังฮอลลีวู้ด ฉากแอคชั่นฟาดฟันดาบของฮยอนบินจึงมีความสนุกสนาน ชวนดู ชวนลุ้น จนมองข้ามความเกินจริงเหลือเชื่อไปเลย 555 เสียดายนิดๆว่าน่าจะมีฉากแบบ long take ให้ฮือฮากว่านี้
การนำ ‘ซอมบี้’ ไปผูกเนื้อหากับพลอตหลักยอดนิยมของหนังซากึก คือการเมืองชิงบัลลังก์ ก็ทำได้ดี ชวนให้ผู้เขียนมองเห็นการเปรียบเทียบความชั่วร้ายของซอมบี้ กับ ความชั่วร้ายของจิตใจคน ไปๆมาๆ สิ่งที่พระเอกต้องเผชิญ มันคือ ปีศาจในปีศาจ จึงฆ่ายากฆ่าเย็นเหลือเกิน นอกจากนี้ มีวาทะคำคมที่ลึกซึ้งให้ความหมายดี คือ ขุนนางพัคบอกกับองค์ชายว่า ‘ราษฏรจะอยู่ได้ ต้องมีพระราชา’ แต่ท้ายสุด องค์ชายกลับตระหนักได้ว่า ‘พระราชาจะอยู่ได้ ต้องมีราษฎร’ วาทะนี้ เอาใจผู้เขียนไปเลย
นอกเหนือจากความระทึก ลุ้น เชียร์แล้ว บทดรามาก็ต้องมีให้ครบสูตร แต่ไม่ขยี้ลึกมาก เพราะเอาเวลาไปเน้นแอคชั่นเสียเยอะ บทคลายเครียด อมยิ้ม มีบ้างพองาม ไม่รบกวนความขลังจนเกินไป แต่อาจเพราะผู้เขียนมีเส้นลึกกว่ามาตรฐาน หลายๆซีนจึงดูจะเจื่อนๆไปหน่อย ส่วนบทโรมานซ์แทบจะไม่มีเลย แต่แค่องค์ชายโปรยลักยิ้มแก้มบุ๋มออกมาตอบโจทย์บุคลิกกรุ้มกริ่มขององค์ชาย ก็คือได้ใจไปละ
สำหรับมุมมองเรื่องนักแสดง คงไม่มีอะไรจะอวย ฮยอนบิน เพราะชอบเป็นการส่วนตัว ทำอะไรก็ดูดีไปหมด เป็น bias ที่อาจทำให้งานเขียนเสียหายได้ 555 งั้นผู้เขียนต้องข้ามไปหา จางดงกอน ดีกว่า เขาถ่ายทอดอารมณ์ทางสีหน้าได้ดีมาก ดูทรงพลังแกร่งกร้าว แต่เผอิญผู้เขียนเพิ่งดูเขาไปใน Seven Years of Night ซึ่งบทนั้นส่งให้การแสดงออกเต็มที่กว่านี้เยอะ เลยติดตาประทับใจอันนั้นไปเสียก่อนแล้ว เรื่องนี้เลยดูจืดไปนิดนึง ส่วนคนอื่นๆก็เกลี่ยๆบทกันไปครบหน้าที่ได้ดีค่ะ
Trailer :