เมื่อคิมโกอึนสวมบทเท่เป็นชะนีตัวแม่ โนซังฮยอนสวมบทเพื่อนเกย์อินโทรเวิร์ต
สองคนที่ใช้ความแตกต่างของตนเป็นเซฟโซนให้กันและกัน โดยไม่ต้องสนใคร
แค่แคร์กันเองอย่างสุดโรแมนติค และเติบโตได้ดีในสังคมเมืองใหญ่ที่แสนอยู่ยาก
Love in the Big City หรือในชื่อไทยว่า เธอเหงาเราเผลอ เป็นงานดัดแปลงมาจากนิยายดังชื่อเดียวกัน แนว LGBTQ+ หรือความหลากหลายทางเพศ ของนักเขียนพัคซังยอง (ซึ่งในงานเขียนของเขา ชื่อตัวเอก โกยอง คณะที่เรียน และอาชีพนักเขียน ก็ถอดมาจากตัวเขาเอง แต่ในงานหนัง ถูกปรับเปลี่ยนไปบ้าง) นอกจากหนังแล้ว งานถูกดัดแปลงไปผลิตเป็นซีรีส์ 8 ตอนจบด้วย ใช้ชื่อเดียวกัน เผยแพร่ในช่วงเวลาไล่ๆกัน ซึ่งจะเล่าเรื่องราวชีวิตตัวเอกชายอย่างจริงจังละเอียดครบถ้วนกว่า ส่วนเวอร์ชันหนังได้ลดทอนย่นย่อ มาเน้นที่มิติความสัมพันธ์ของสองตัวเอกชายหญิงเป็นหลัก คือ ฮึงซูกับแจฮี เรียบเรียงเป็นงานบันเทิงฉบับสองชั่วโมง ที่วาง genre ไว้เป็น Comedy, Drama, Youth, Romance, Queer โปรโมตความสนุกครบรส ในแบบฉบับที่เป็นบันเทิงสอดแทรกสาระ มีกลิ่นอายของโรมานซ์ค่อนข้างสูงเพื่อเข้าถึงผู้ชมในวงกว้างมากขึ้น (แต่ไม่ได้สัมพันธ์อะไรกับชื่อเรื่องไทยนะ ข้ามไปได้เลยค่ะ)
การเล่าเรื่องราวก้าวพ้นวัย 13 ปีที่เติบโตขึ้นของหนุ่มสาว ผู้อยากใช้ชีวิตและแสวงหาความรักในเมืองใหญ่อันซับซ้อน’อยู่ยาก’ มากคนมากความ ยิ่งท้าทายสำหรับแจฮี (รับบทโดย คิมโกอึน) และฮึงซู (รับบทโดย โนซังฮยอน) ที่เริ่มรู้จักกันในตอนเข้าเรียนมหาวิทยาลัย พวกเขาต่างมีประเด็นให้ตกเป็นเป้าอคติ นินทาว่าร้ายจากเพื่อนๆนักศีกษา และแม้ว่าภูมิหลัง นิสัย และทัศนคติต่อชีวิตและความรักของทั้งสองจะต่างกันคนละขั้ว แต่ก็ยังเจอจุดร่วมที่เข้าใจกัน ถึงขั้นลงเอยเป็นเซฟโซนให้กัน ร่วมรูมเมต และเป็นเพื่อนซี้มากสีสัน ที่จะถ่ายทอดมิตรภาพฉบับโรแมติคซึ่งรับรองว่าหาดูที่ไหนได้ยากเลยค่ะ
แจฮี จบมัธยมมาจากฝรั่งเศส กลับมาอยู่เกาหลีคนเดียว มีนิสัยร่าเริง รักอิสระ เป็นตัวของตัวเองสูง เปิดเผย ปากกล้าก๋ากั่น ไม่สนขี้ปากใคร แต่ถ้าล้ำเส้นเกินเลย เธอก็กล้าสวนกลับแสบสันต์จนเหวอได้เลย พักเบรคเรียนก็สูบบุหรี่เป็นว่าเล่น ตกดึกก็เที่ยวผับเที่ยวบาร์ เต้นรำกินเหล้า และอาจจบลงที่ไปนอนกับผู้ชายสักคนที่เพิ่งเจอ เธอพร้อมที่จะใช้ชีวิตไปกับความรัก แต่จนแล้วจนรอดก็ยังเจอแต่ผู้ชายไม่ได้เรื่อง แถมยังพลาดเกิดท้องขึ้นมา จนต้องไปหาที่ทำแท้ง เลยยิ่งเสี่ยงถูกเมาท์ไปอีก
ส่วน ฮึงซู นืสัยเก๊บตัว เงียบๆ ก็เพราะเขามีความลับที่เป็นเกย์ เปลี่ยนคู่คบหาไปเรื่อยๆ เพราะไม่คิดว่าจะยึดมั่นลงเอยใช้ชีวิตกับใครได้ ในสภาพสังคมที่ยังไม่ยอมรับ หรือแม้แต่กับแม่ตัวเองก็ยังไม่กล้าบอกเลย ใช้ชีวิตระแวดระวัง ปิดกั้นการผูกมัด รักษาระยะห่าง คิดปิดบังเพศสภาพนี้ไปตลอดกาล แต่บังเอิญว่าแจฮีมาล่วงรู้เข้า นอกจากเธอไม่ได้ปากโป้ง ไม่ได้มองเขาว่าผิดปกติแล้ว ยังช่วยปกปิดอำพรางให้เนียนๆด้วย เธอเห็นว่าการเป็นในแบบที่ตัวเองเป็น ไม่ใช่เรื่องด้อยที่ต้องอายหรือปกปิด และไม่ใช่จุดอ่อนที่ใครๆจะเอามาโจมตีได้เพียงเพราะมันแตกต่างจากพวกเขา เธอเลยโนสนโนแคร์ได้มั่นเหลือเกิน
เมื่อเวลาผ่านไป วัยที่เติบโตขึ้น ชีวิตที่ต้องเดินสู่ความเป็นผู้ใหญ่ แจฮีที่เข้าสู่ระบบการทำงานในสังคมใหม่ การได้เจอกับคนที่คิดว่าใช่ อยากจะแต่งงานด้วย สิ่งที่เธอเคยคิดว่าไม่แคร์ การมีรูมเมตต่างเพศ ก็กลายเป็นเรื่องที่ถูกแฟนตัดสินว่าผิดจนได้ การเปิดเผยเพศสภาพของฮึงซูเพื่อแก้ต่าง ก็กลายเป็นเรื่องผิดต่อฮึงซูได้ ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ที่เจอจุดวิกฤติชั่ววูบ มิตรภาพที่สุดยูนีค จะช่วยพยุงพวกเขา พาก้าวผ่านปัญหา โดยยังรักษาตัวตนอย่างที่เป็น แต่เติบโตขึ้นทางจิตใจได้อย่างไร ต้องตามดูค่ะ
เป็นงานที่ vibe ดีมีจังหวะและพลังชวนติดตาม ด้วยฝีมือเฉียบขาดของคิมโกอึนกับโนซังฮยอน อินเนอร์และเคมีสุดน่ารักสุดฟิน ชูโรงเต็มอิ่มตลอดเรื่อง เสริมบทกันอีกคนละนิดละหน่อยจากนักแสดงสมทบและรับเชิญ เช่น จางฮเยจิน อีซังอี อียูจิน ควักดงยอน จูจงฮยอก
การได้ผู้กำกับอีออนฮี (ผลงาน : ซีรีส์ The Killer’s Shopping List มูฟวี The Accidental Detective 2: In Action) และนักเขียนคิมนาดึล (ผลงาน : มูฟวี Perhaps Love) มาร่วมกันเล่าเรื่องเรียลๆให้สนุกบันเทิงได้อย่างกลมกลืน ถ่ายทอดเรื่องหนักๆให้เข้าถึงง่าย เปิดใจคล้อยตามได้ ทำเรื่องมิตรภาพในโทนใหม่ให้เสน่ห์ฟินๆโดนใจแมส และเสิร์ฟครบรสกลมกล่อม มียิ้ม มีฟิน ได้ขำเอ็นดู มีตลกร้ายเบาๆ หยอดเศร้าเคล้าสุข อบอุ่นฟิลกู้ด แถมทิ้งข้อคิดดีๆติดไม้ติดมือให้ด้วย
กิมมิคหลายอันที่หยิบมาใช้เป็นทางลัดได้ดี เช่นการอิงชื่อหนังดัง Happy Together หรือ Call Me by Your Name การเลือกเพลง Bad Girl Good Girl มาใช้ได้สนุกน่ารักเข้ากับเรื่อง หรือการหยอดมุกของโมเดลมดลูกที่แจฮีโมโหฉวยมาจากคลีนิคสูติตอนไปขอทำแท้ง ก็นัยสิทธิมนุษยชนขำๆทำนองว่า มดลูกของฉันย่ะ ฉันมีสิทธิ์เลือกชีวิตเอง หมออย่ามาตัดสินแทนหรือวิจารณ์ใส่ เแอบสังเกตว่ามันก็ยังอยู่บนโต๊ะในห้องแจฮีจนจบเรื่องด้วย นางเท่ได้อินดี้จริงๆเลย
ไม่เพียงเรื่องความหลากหลายทางเพศที่ถูกวางเป็นแกนหลักแล้ว ประเด็นของชีวิตวัยรุ่นที่ต้องก้าวพ้นวัย ก้าวผ่านอุปสรรคมีฝันและเติบโตได้ดี ท่ามกลางสภาพเมืองใหญ่ที่สุ่มเสี่ยงต่อการเดินพลาดหรือเลือกผิดทาง เพราะยังมีอีกหลายปัญหาแทรกตัวอยู่ในสังคม เช่นการเติบโตลำพัง ความอคติ การว่าร้าย การเลือกปฏิบัติ รวมถึงชีวิตที่ล่อแหลมต่อการทำร้ายตัวเอง ด้วยบุหรี่ เหล้า แหล่งเที่ยวกลางคืน การทำแท้ง เป็นต้น แม้ว่าจะพาดพิงไว้ไม่มาก แต่ยังอดคิดไม่ได้ สมกับคำว่ายุคนี้อยู่ยากจริงๆไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง
สรุปปิดท้ายคือ เป็นหนังที่มีเสน่ห์เฉพาะตัวน่าชมที่ทำให้เดินอมยิ้มอิ่มเอมใจออกจากโรงหนังได้ คุ้มค่าตั๋วและคุ้มเวลาสองชั่วโมงแน่นอนค่ะ ส่วนใครที่ติดใจเรื่องราวชีวิตเกย์ของตัวเอกแบบเจาะลึก slice of life เข้มเต็มอารมณ์ดำดิ่ง ในคุณภาพงานสวยอาร์ตเทียบระดับหนัง ก็หาชม Love in the Big City เวอร์ชันซีรีส์ตามได้เลย มีนัมยุนซูแสดงนำ เล่นได้ดีทีเดียวเลยค่ะ
Trailer :
ติดตามบทความรีวิวอื่นๆ ข่าวสารบันเทิงเกาหลี หรือพูดคุยกับ WARUMANU ได้ที่ เพจมูฟวีข้ามวันซีรีส์ข้ามคืน