‘ถ้าผมได้เปลี่ยนตอนจบใหม่หละก็ ต้องได้ผลงานมาสเตอร์พีซแน่ๆ ขอเวลาแค่สองวันเอง’
คำพูดง่ายๆของผู้กำกับที่ก่อความยากๆ ป่วนทั้งกองถ่ายให้สองวันนั้นเป็นความโกลาหลสุดๆ
Cobweb เป็นภาพยนตร์แนวย้อนยุค ดรามาสียดสีปนตลกร้าย ซึ่งเขียนบทโดย ชินยอนชิก ผู้เขียน Dong Ju : The Portrait of a Poet (2016) และกำกับโดยผู้กำกับคิมจีอุน เจ้าของผลงานดังมากมาย เช่น Illlang : The Wolf Brigade (2018) The Age of Shadows (2016) I Saw the Devil (2010) The Good, The Bad, The Weird (2008) A Bittersweet Life (2005) A Tale of Two Sisters (2003)
Cobweb เป็นงานที่มีพล็อตและความแปลกใหม่ฉีกกรอบได้น่าสนใจมาก ได้รับเชิญไปร่วมงาน 76th Cannes Film Festival ในสายนอกการประกวด และยังไปเยือนอีกหลายเวทีเทศกาลหนังนานาชาติ แต่ในเกาหลีเองหนังมีรายได้แค่พอประมาณ และแม้จะติดชื่อเข้าชิงรางวัลเยอะมาก แต่รางวัลที่ได้รับกลับมีไม่มากนัก ซึ่งก็เกลี่ยกระจายกันไปทั้งรางวัลผู้กำกับ นักแสดงโอจองเซ จอนยอบิน คริสตัลจอง และด้านเพลง กำกับศิลป์ ถ่ายภาพ ส่วนหนึ่งก็อาจเป็นเพราะเจอคู่แข่งสายแข็งซะเยอะ อาจพลาดรางวัลแบบฉิวเฉียดก็ได้นะ
ท้องเรื่องเป็นช่วงต้นทศวรรษ 1970 ในกรุงโซล เมื่อผู้กำกับ คิมคียอล (รับบทโดย ซงคังโฮ) เกิดความหมกมุ่นคาใจกับบทจบของหนังเรื่อง Cobweb ที่ตัวเองเพิ่งถ่ายเสร็จไป ถึงขั้นหลับก็ยังเก็บเอาไปฝันซ้ำซากทุกคืน ยังไงก็จะต้องแก้ไขเปลี่ยนตอนจบใหม่ด้วยไอเดียที่ฉีกต่างไปจากเดิมแบบคนละขั้วเลย โดยตั้งใจขอเวลา reshoot แค่ 2 วันเอง ความดึงดันของเขาเป็นเพราะอยากแก้ปมในใจที่งานของเขาถูกวิจารณ์หยามว่าเป็นได้แค่งานดรามาขยะ มีเพียงงานเดบิวต์เรื่องเดียว ‘Love Like A Flame’ ที่สร้างชื่อได้เพราะเป็นงานทำคู่กับอาจารย์ (ผู้กำกับชินซังโฮ) ที่ล่วงลับไปแล้วด้วยอุบัติเหตุ ภายหลังที่งานเผยแพร่ เครดิตจึงตกอยู่กับผู้กำกับคิมเต็มๆไป เขาจึงต้องดึงดันทำบทจบใหม่นี้ส่งหนัง Cobweb ของเขาให้กลายเป็นผลงานชิ้นโบแดงสร้างเกียรติภูมิของตัวเอง
ทว่า ประธานแบค (รับบทโดย จางยองนัม) ) ภรรยาของผู้กำกับชินและเป็นผู้อำนวยการสร้างไม่อนุมัติให้ถ่ายทำใหม่ แต่ในจังหวะที่เธอไปต่างประเทศ ผู้กำกับคิมก็ไปล็อบบี้ฝ่ายการเงิน ชินมีโด (รับบทโดย จอนยอบิน) ซึ่งเป็นหลานสาวของประธานแบค ด้วยความที่เธอเป็นคนมีหัวเชิงศิลป์สมัยใหม่จึงสนับสนุนว่าบทใหม่ดีมาก พร้อมดันและหวังร่วมดังด้วยคนเลย ทั้งๆที่กองเซ็นเซอร์เองก็ยังไม่อนุมัติบทใหม่นี้ให้ก็ตาม
ทีมงานและนักแสดงที่ต่างมีคิวยุ่งเหยิงจึงถูกเรียกรวมกองฉุกเฉินเพื่อการนี้ ไม่มีใครเข้าใจถ่องแท้ในความหมายของบทบรรเจิดเวอร์ชั่นใหม่ของผู้กำกับคิมหรอก แต่ทุกคนก็ยังมากันครบ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 3 นักแสดงนำของเรื่อง หนึ่ง.. อีมินจา (รับบทโดย อิมซูจอง) นางเอกมากประสบการณ์ขาประจำของผู้กำกับคิม ผู้พร้อมทำเต็มที่ตามสั่ง สอง.. คังโฮเซ (รับบทโดย โอจองเซ) พระเอกของเรื่องในบทชายเจ้าชู้มากเมีย ซึ่งสมจริงเพราะนอกจอเขาก็แอบเมียมีกิ๊ก สาม..ฮันยูริม (รับบทโดย คริสตัลจอง) นางเอกสาวดาวรุ่ง ซึ่งรับบทเป็นเมียน้อยของคังโฮเซในเรื่อง ส่วนชีวิตจริงก็คือกิ๊กของคังโฮเซแหละ เธอมีคิวงานรัดตัว ผู้ช่วยผู้กำกับจึงต้องหลอกว่าจะขอเวลาแค่วันเดียว พอรู้ความจริงเข้าเธอจึงออกอาการวีนงอแง ไร้มู้ดทำงาน พาลทำคังโฮเซเสียศูนย์ ต้องคอยแอบโอ๋นาง ฮันยูริมถึงขั้นพยายามจะหนีออกจากกองถ่าย แต่ก็มีเหตุที่ทำไม่สำเร็จ
ความชุลมุนวุ่นวายในกองถ่ายทวีขึ้น เมื่อเจ้าหน้าที่กองเซ็นเซอร์มาเยือนตรวจงาน หรือเมื่อมีนักแสดงป่วนงอแงไม่ยอมแสดง ก็ได้ชินมีโดนี่แหละเป็นผู้ช่วยจัดการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ด้วยวิธีการในแบบของเธอ ขอเพียงให้ผ่านสองวันนี้ให้ได้ก็พอ ส่วนผู้กำกับคิมก็โฟกัสกับการถ่ายทำไปอย่างไม่ยอมให้ใครหรืออะไรมาเบรค ‘มาสเตอร์พีซ‘ ของเขาได้เลยจริงๆ
เรียกว่าเป็นหนังที่สร้างพล็อตสดใหม่ ไม่ซ้ำงานอื่นใดเลย มีความช่างคิดได้สนุกนอกกรอบดี การเล่าเรื่องเป็น ‘หนังซ้อนหนัง’ อีกที ทั้งสองเลเยอร์คือหนังที่ใช้ชื่อว่า Cobweb เหมือนกัน แต่ต่างมีปมมีปริศนาของเรื่องราวให้ชวนติดตามและหยอดการหักมุมสนุกๆทั้งสองหนัง เรียกว่าได้สองเด้งเป็นหนังควบเลย 555 การเดินเรื่องที่ตัดสลับฉากไปมาตลอด แต่ผู้ชมสามารถแยกแยะจากกันด้วยโทนสีของภาพ ถ้าขาวดำคือเนื้อหนังหลังเลนส์กล้องของผู้กำกับคิมยอล ส่วนภาพสีคืองานหนังหลังเลนส์กล้องของผู้กำกับคิมจีอุน
การต่อยอดกิมมิคจากหนังซ้อนหนัง ให้ ‘ตัวละครซ้อนตัวละคร’ ด้วยการมีบุคลิกนิสัยและชีวิตที่เหมือนๆกันในหนังทั้งสองเลเยอร์อย่างชวนขำ เข้าข่ายที่ว่า ชีวิตจริงก็ไม่ต่างจากละครน้ำเน่าหรอก (น่าคิดนะว่า คังโฮเซและฮันยูริมแสดงได้ดีเพราะความสมจริงที่ไม่ต้องใช้ฝีมือหนะสิ 555)
ความยุ่งเหยิงของปัญหา ความอลหม่านของแต่ละเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นในโรงถ่ายแห่งนี้ คือเรื่องราวในโทนจริงจังที่แฝงตลกร้าย ซึ่งพีคขึ้นไปถึงระดับเฉียดหายนะในช่วงท้ายเรื่องเลยเชียว แต่ละตัวละครช่วยกันผสมโรงชงความชุลมุนวุ่นวาย จนต้องช่วยลุ้นตัวโก่งฉากต่อฉากวินาทีต่อวินาทีอย่างสนุกสนานเลยว่า ผู้กำกับคิมจะสู้ตายทำได้สำเร็จหรือไม่ อย่างไร
เสน่ห์ของงานย้อนยุควินเทจที่หนังเก็บรายละเอียดได้พิถีพิถันดี ฉาก พร้อพ เสื้อผ้า หน้าผม ภาพ ซาวน์เพลง รวมไปถึงการสะท้อนสไตล์งานบันเทิงในยุคทศวรรษนั้นที่แนว‘ดรามาน้ำเน่า’เป็นที่นิยม วนเวียนอยู่กับพล็อตครอบครัว สถานะชนชั้น ความเหลื่อมล้ำทางเพศ ชายเป็นใหญ่ การกดขี่ผู้ด้อย แย่งชิงความรัก หวังสมบัติ ตัวละครมิติเดียวดีร้ายฉีกกันไปสุดขั้ว
นอกจากความชวนขำในลีลาแสดงแบบเว่อร์จัดเต็มสมยุคแล้ว ยังส่งต่อฟิลเสียดสีแซะซ้ำด้วยสิ่งที่ผู้กำกับคิมต้องการจะเปลี่ยน นั่นก็คือการปฏิวัติตัวละครด้วยบทของผู้หญิงที่ล้ำยุคเกินกว่าสังคมตอนนั้นเป็นอยู่ แหกกรอบการจบเรื่องแบบน้ำเน่าเดิมๆโดยพลิกโทนโหดระทึกแบบที่ใครๆต้องอึ้งเกินคาด! … นี่แหละคือ การดิ้นพ้นจาก‘ดราม่าขยะ’แล้ว!
การสะท้อนภาพอุตสาหกรรมหนังของเกาหลีในช่วงสิ้นสุดยุคทอง เข้าสู่ช่วงเสื่อมถอย ถ้าว่าเป็นภาษาการตลาดก็คือ ตกสภาพลำบากทั้งการพัฒนาตัวเองไม่ออก (ถูกวิจารณ์เป็นขยะน้ำเน่า) รอยต่อสู่เทรนด์ของผู้ชมที่เห่อไปดูละครทีวี นักแสดงก็อยากเข้าเทรนด์ด้วย ที่สำคัญคืออุปสรรคที่มิอาจควบคุมได้อย่างการเซ็นเซอร์เข้มงวดของภาครัฐเพื่อโจทย์ระบอบการเมืองทหาร มากกว่าการพัฒนาส่งเสริมหนัง
นอกจากนี้จะได้เห็นการทำงานเบื้องหลังของกองถ่าย เห็นเทคนิคการถ่ายทำยุคอนาล็อกที่ต้องดูเองแล้วจะขำ และได้รู้ว่ากว่าจะได้งานมาสักเรื่อง หนังดีๆบางทีก็อาจไม่สามารถฟันฝ่านานาอุปสรรค จากนายทุนผู้สร้าง กองเซ็นเซอร์ จิตใจความทุ่มเทของนักแสดง หรือระดับความเซฟโซนของตัวผู้กำกับเอง
ความสำเร็จของ Cobweb ในเรื่องเกิดขึ้นได้เพราะลูกบ้ากล้าสู้กับความยุ่งเหยิงเยี่ยงใยแมงมุมอิรุงตุงนังของผู้กำกับคิมโดยแท้ พ่วงกองหนุนหนึ่งเดียวของเขาคือชินมีโด ที่ใจกล้าบ้าบิ่นอย่างชวนฮาและหวาดเสียวมากค่ะ ซึ่งสุดท้ายแล้วผู้กำกับคิมก็สามารถเก็บรวบความอิรุงตุงนังนั้นให้เข้ารูปเข้ารอย นัยของความกลัวแมงมุมหรือใยยุ่งหยิงของมัน ก็ถูกจัดการแบบซีนจบในหนังของเขาที่ชวนอึ้งได้! หรือในอีกนัยหนึ่งที่ลึกไปกว่านั้น ก็คือใยแมงมุมที่น่ากลัวอาจสื่อว่าเป็นพันธนาการเลวร้ายจากอุปสรรคทั้งหลายของวงการหนังยุคนั้นก็ได้นะ
ซงคังโฮ ถ่ายทอดบทบาทของผู้กำกับคิมลุคหมกมุ่นไม่สนใดๆได้ดี อิมซูจองก็เนียนสมเป็นดาราสมัยก่อน ไม่เพียงลุค แต่โทนน้ำเสียง สีหน้า ลีลาการพูดดูน่าทึ่งมาก โอจองเซ คริสตัลจอง จอนยอบิน ตีบทตัวเองแตกได้มีเสน่ห์น่าดูทุกคน และอีกหลายๆนักแสดงสมทบที่ช่วยให้การมารวมตัวกัน ณ โรงถ่ายแห่งนี้สร้างสรรค์ความบันเทิงได้เพลินดีจัง
โบนัสด้วยนักแสดงรับเชิญอย่าง จองอูซอง ยอมฮเยรัน ออมแทกู แม้แอร์ไทม์ไม่เยอะนัก แต่ก็เป็นบทที่ไขปริศนาสำคัญของเรื่องเลยค่ะ
Trailer :
ติดตามบทความรีวิวอื่นๆ ข่าวสารบันเทิงเกาหลี หรือพูดคุยกับ WARUMANU ได้ที่ เพจมูฟวีข้ามวันซีรีส์ข้ามคืน