เมื่อ ‘อันซองกี’ และ ‘ซอฮยอนจิน’ รับบทพ่อลูก
ร่วมถ่ายทอดความสัมพันธ์ที่ทั้งสะเทือนใจและอบอุ่นหัวใจ
ในยามที่ฝ่ายหนึ่งป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์…ไม่ใช่พ่อ…แต่เป็นลูกสาวที่มีอนาคต!
เริ่มต้นเรื่องราวของ พัคซูจิน (รับบทโดย ซอฮยอนจิน) ผู้หญิงที่ทุ่มเทความพยายามอย่างดี เพื่อภาพความสำเร็จทั้งในการงานและการทำหน้าที่แม่เลี้ยงเดี่ยวของลูกสาวคนเดียว จีนา (รับบทโดย จูเยริม)
ซูจิน เป็นทนายความมากฝีมือที่มีผลงานดีเป็นที่ยอมรับ เต็มที่กับงานเสมอทุกเวลา แต่จากความเครียดก็ทำให้เธอกลายเป็นคนใจร้อน จุดเดือดต่ำ ระเบิดอารมณ์ไว แม้แต่กับจีนาลูกสุดที่รัก เธอก็มิวายหงุดหงิดโมโหใส่อยู่บ่อยครั้ง และมักมีเรื่องโต้เถียงกันเสมอถ้าจีนาไม่เชื่อฟังทำตามที่เธอบอก ซึ่งส่วนใหญ่ก็มาจากการที่เธอเข้มงวดกวดขันเรื่องเรียนกับลูกมากเป็นพิเศษ เพื่อเตรียมความพร้อมส่งลูกไปเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกา โดยไปอยู่กับสามีที่เธอหย่าร้างไปแล้ว ทั้งหมดนี้ก็เพื่ออนาคตที่ดีของลูก
เมื่อใกล้ถึงวันเดินทาง พี่เลี้ยงของลูกก็เกิดมาลางานกระทันหัน เธอเลยให้ออกไปเลย ไม่ต้องรำคาญใจ และหันไปขอความช่วยเหลือจากพ่อของเธอ พัคอินอู (รับบทโดย อันซองกี) ให้มาอยู่ช่วยดูแลจีนาแทนชั่วคราวหนึ่งสัปดาห์
ในวันที่กำลังจะออกจากบ้านไปส่งจีนาเดินทางที่สนามบิน เธอถูกตามให้เมล์งานด่วน ตาหลานจึงล่วงหน้าไปก่อน แต่ซูจินเกิดอุบัติเหตุขึ้นกลางทาง การไปโรงพยาบาลจากเหตุนั้น จึงทำให้เธอได้รู้ตัวว่าป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์ก่อนวัยอันควร ซึ่งเธอมิได้เอะใจมาก่อนว่าพักหลังมักมีอาการหลงลืมแว้บ ๆ บ่อย ๆ เหมือนกัน ที่น่าตกใจยิ่งก็คือ อาการของเธอจะทรุดไวกว่าโรคอัลไซเมอร์ปกติในผู้สูงวัยหลายเท่าตัว
พ่อของเธอจึงตัดสินใจย้ายมาอยู่กับเธอ ในวัยที่ลูกยังเด็ก เขาก็เอาแต่ทำงานอยู่ต่างประเทศ ปล่อยลูกเติบโตเอง ยามนี้ที่ลูกประสบกับโรคร้ายที่บั่นทอนความสามารถในการใช้ชีวิต ความจำ การพูด การควบคุมอารมณ์ การควบคุมขับถ่าย ล้วนถดถอยกลับไปเป็นเหมือนเด็กอีกครั้ง เขาจึงพยายามทำหน้าที่พ่อครั้งใหม่อย่างดีที่สุด นี่คือเนื้อหาหลักที่หนังจะถ่ายทอดความสัมพันธ์ของคุณพ่อกับลูกสาวให้ผู้ชมได้ซาบซึ้งอบอุ่นหัวใจ ชวนให้ ‘คิดถึงพ่อ’ ขึ้นมาทันที
แน่นอนว่าโมเมนท์ที่ทรงพลังที่สุดก็ต้องเป็นช่วงเวลาที่พ่อดูแลซูจินอย่างเข้าอกเข้าใจ ด้วยพื้นฐานความเป็นคนสุขุม ใจเย็น เขาพยายามเป็นกำลังใจในทุกรูปแบบ ยืดเวลาการใช้ชีวิตปกติด้วยตัวเองของลูกให้นานที่สุด และอยู่เคียงข้างตลอดระยะเวลาที่โรคได้พัฒนาความรุนแรงจนเธอสูญเสียความสามารถในการใช้ชีวิตด้วย
หนังที่ดูเหมือนว่าจะผิว ๆ ไปบ้าง ในแง่ที่ละเลยรายละเอียดของบริบทอื่น ๆ ให้มีเหตุมีผลมาสนับสนุนสถานการณ์ให้มีน้ำหนักมากขึ้น เช่น ที่มาของชีวิตพ่อ ความสัมพันธ์ของซูจินกับพ่อแม่ในอดีต ชีวิตสมรสของซูจิน ชีวิตของจีนาที่อเมริกา รวมไปถึงการคลี่คลายปัญหาอย่างเป็นรูปธรรมในตอนท้าย แต่หนังจะเน้นใช้เวลาไปกับการถ่ายทอดความทุกข์ยากทางกายทางใจของซูจินจากอาการอัลไซเมอร์ บีบคั้นอารมณ์ผู้ชมอย่างสุดแสนสะเทือนใจ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ใครที่เคยมีประสบการณ์คนใกล้ตัวคนที่รักป่วยด้วยโรคนี้จะยิ่งเข้าใจแต่ละสถานการณ์ได้ดี ไปจนถึงขั้นทำนบน้ำตาแตกทะลักอย่างแน่นอน ซึ่งก็ต้องยกความดีงามให้กับฝีมือของ ซอฮยอนจิน มากที่สุด ใครเป็นแฟนคลับเธอ คือต้องไม่พลาดค่ะ
แล้วทำไมหนังจึงชื่อ Cassiopeia ล่ะ? คงมิใช่แค่เพียงจีนาชอบดูดาว และกิจกรรมดูดาวร่วมกันเป็นความทรงจำที่มีความหมายของครอบครัวนี้เท่านั้น แต่โดยนัยความสำคัญของกลุ่มดาวแคสซิโอเปียที่สุกสว่างที่สุด เป็นเหมือน ‘ดาวแม่’ ให้สามารถมองหาดาวเหนือเจอได้ง่ายขึ้น ซึ่งดาวเหนือก็คือดาวนำทางให้รู้ทิศเหนือ ตีความได้ว่า เหมือนพ่อที่มาอยู่ข้างกายเพื่อให้ชีวิตดำเนินไปอย่างถูกทางได้
นอกจากนี้แล้ว เพลง Cassiopeia ก็เป็นเพลงที่เด็ก ๆ ชอบร้องกัน รวมถึงลูกสาวของผู้กำกับเรื่องนี้ด้วย จึงเป็นแรงบันดาลใจให้นำมาตั้งเป็นชื่อหนัง แปลเนื้อร้องของเพลงได้ว่า ‘เมื่อนานมายามฉันยังเป็นเด็ก ฉันเดินเลาะทางในชนบท ปีนขึ้นไปบนหลังของพ่อ แหงนมองท้องฟ้ายามค่ำคืน ที่เต็มไปด้วยดวงดาวพร่างพราย ในหมู่ดาวเจิดจ้าที่สุดที่ฉันเห็น กลุ่มดาวห้าดวงสุดสดใสที่ฉันเห็น เรื่องเล่าของพ่อแห่งอาณาจักรอันไกลโพ้น เรื่องเล่าของเจ้าหญิงอันแสนเศร้า โอ..แคสซิโอเปีย ที่สุดของความสุกสกาวท่ามกลางหมู่ดาวเสมอ’
Trailer :
ติดตามบทความรีวิวอื่นๆ ข่าวสารบันเทิงเกาหลี หรือพูดคุยกับ WARUMANU ได้ที่ เพจมูฟวีข้ามวันซีรีส์ข้ามคืน
ติดตามข่าวสารและสิ่งที่น่าสนใจจากเราได้ที่
Facebook Fanpage : facebook.com/korseries
Twitter : twitter.com/korseries
Website : korseries.com
Youtube : Korseries
ขอความกรุณาไม่คัดลอก-ดัดแปลงบทความไปโพสต์ลงในเพจ-สำนักข่าวอื่น รวมถึงไม่นำบทความไปอ่านลง YouTube หรือแพลตฟอร์มใด ๆ โปรดช่วยแชร์เป็นลิ้งก์นะคะ ♡