จากบ้านเกิดที่ไร้อนาคต ชีวิตที่ไร้ความหวัง สู่อีกฟากของโลกที่แตกต่าง
จะอยู่แค่พอให้รอด หรือจะตะกายสุดโต่ง คว้าความหวังใหม่ให้สุดตัว
บนเส้นทางไปสู่เจ้าพ่ออาชญากรรมตลาดมืด เขาจะได้และเสียอะไร?
Bogata: City of the Lost หรือชื่อไทยว่า ‘โบกาตา เมืองคนหลง’ เป็นงานแนวผสมผสานอาชญากรรม แอ็กชัน ดรามา นัวร์ ทริลเลอร์ และ Picaresque (ชวนเชียร์แม้ตัวเอกจะเป็นคนไม่ดี) กำกับโดยผู้กำกับคิมซองเจ เจ้าของผลงาน Minority Opinion (2015) ซึ่งร่วมเขียนบทกับนักเขียนฮวังซองกู เจ้าของผลงาน Little Forest (2018) Anarchist from Colony (2017)
การเปิดเรื่องผ่านการเล่าของ ซงกุกฮี (รับบทโดย ซงจุงกิ) ในวัยเด็กหนุ่ม ที่พ่อ ซงกึนแท (รับบทโดย คิมจงซู) และแม่พากันอพยพไปอยู่โคลอมเบียหลังสิ้นหนทางทำมาหากินในเกาหลีเพราะวิกฤติไอเอ็มเอฟปี 1997 พ่อซึ่งอ้างว่าที่นี่เป็นเพียงจุดพักรอการไปอเมริกาเพื่อสร้างชีวิตใหม่ และหวังการพึ่งพาเพื่อนทหารในอดีต พัคจางซู หรือที่ใครๆเรียก จ่าพัค (รับบทโดย ควอนแฮฮโย) ซึ่งลงหลักปักฐานอยู่ในโบกาตา เมืองหลวงของโคลอมเบีย
จ่าพัคมีภรรยาเป็นคนโคลอมเบีย ทำมาหากินในธุรกิจค้าขายเสื้อผ้า ซึ่งมาจากการลักลอบนำเข้า ทำให้เขาเป็นประธานกลุ่มพ่อค้าแม่ค้าเกาหลีในชุมชนนี้ รวมถึงร้านค้าของหลานชายของเขา ลิตเติ้ลพัค (รับบทโดย พัคจีฮวาน) จ่าพัคมีบารมีเป็นผู้นำชุมชนนี้ได้ด้วยเส้นสายกับผู้มีอำนาจท้องถิ่นที่รับสินบนจากเขาเป็นประจำ
ในเมื่อพ่อของกุกฮีไม่เป็นโล้เป็นพาย แม่ก็เป็นได้แค่คนงานเย็บผ้าในโรงงาน กุกฮีจึงต้องดิ้นรนอาตัวรอดด้วยตัวเอง ด้วยการเป็นแรงงานให้จ่าพัคและภรรยาของเขาอย่างขยันขันแข็ง ความมีจิตวิญญาณเป็นนักสู้ และยังฉลาดเรียนรู้ไวแม้ไม่ได้สอนตรงๆ จนได้พิสูจน์ความจริงใจ รับผิดชอบทุ่มสุดตัวปกป้องสินค้า แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า จนจ่าพัคยอมรับไว้วางใจให้เป็นผู้ช่วยได้ เอ็นดูถึงขั้นจะให้กุกฮีเรียกเขาว่าอาแทนเถ้าแก่ด้วยซ้ำ
แววของกุกฮียังฉายไปโดนใจนายหน้าศุลกากร จอนซูยอง (รับบทโดย อีฮีจุน) ผู้ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการขนสินค้าผ่านด่านให้จ่าคิม ซูยองชักชวนกุกฮีไปเข้าพวก ทำการลักลอบขนสินค้าของตัวเองซ้อนเข้าไปในสินค้าของจ่าพัค ข้างกุกฮีเองก็เริ่มสนใจซูยองที่มีความคิดหลักแหลม กล้าเสี่ยงในการทำธุรกิจ จนกุกฮีนับถือเป็นพี่ ยอมร่วมงานท้าทายกับเขา โดยหวังว่าจะรวยเร็วขึ้น เปลี่ยนสถานะชีวิตให้ดีขึ้นได้ ในขณะที่ฝ่ายจ่าพัคก็รู้แกวของซูยอง จึงถือโอกาสปล่อยให้กุกฮีไปทำ โดยมีแผนการเตรียมดักรอไว้ ด้วยว่าอยากทดสอบความไว้วางใจกุกฮีเช่นกัน ผลออกมาเป็นอย่างไร ต้องไปติดตามดูค่ะ
แม้ว่าความสามารถ ดวงอุปถัมถ์ และแรงทะเยอะยานของกุกฮีจะทำให้เขาประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วได้ในเวลาเพียงไม่กี่ปีหลังจากนั้น แน่นอนว่าชีวิตไม่ได้เรียบร้อยดั่งใจได้ตลอด มีตัวแปรบางอย่างที่เข้ามาทำให้สถานการณ์ย่ำแย่ ทั้งเรื่องงาน และความสัมพันธ์ที่อยู่หว่างกลางจ่าพัคกับซูยอง นำพาความพลิกผันไปมาอีกหลายตลบไปจนจบเรื่อง รวมไปถึงการตามดูว่าเขาจะไปถึงฝั่งฝันได้ใช้ชีวิตในเขต 6 (คือเขตคนมั่งมี) ของโคลอมเบียหรือไม่
พล็อตของชาวเกาหลีอพยพเพื่อสร้างชีวิตใหม่ เป็นสิ่งแรกที่ดึงดูดความสนใจ ได้เห็นเส้นทางดิ้นรนต่อสู้ การเติบโตท่ามกลางโลกเลวร้าย แม้ว่าพัฒนาการบางช่วงอาจดูรวบง่ายไป โดยเฉพาะช่วงสุดท้ายซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของกุกฮี มีความก้าวกระโดดแบบดื้อๆไร้การอธิบาย ทำให้บทขาดความน่าเชื่อถือไปทีเดียวเลย
ความเป็นเรื่องต่างแดน ประเทศที่ไม่คุ้นเคยด้วย ความเป็นงานย้อนยุค และเรื่องของธุรกิจสินค้าเถื่อน ดูดึงความสนใจได้พอควร แต่จะเน้นไปที่กระบวนการขนสินค้าเข้าเมืองเท่านั้น ที่ต้องเสี่ยงภัยจากผุ้คุมกฏที่เป็นทหารติดอาวุธ และเส้นสายสินบนก็ถูกใช้เป็นตัวผ่านทาง ซึ่งดูเสียดสีประเทศเขาอยู่ บวกการแซะตัวเองด้วยฉากคุ้นๆวิถีเกาหลี เงินเป็นฟ่อนๆในกล่อง เพียงไม่ใช่กล่องเครื่องดื่มชูกำลัง แต่เป็นกล่องเค็กเข้ากับบริบทดี
เรื่องราวดรามาสะท้อนความนัวร์ของมนุษย์ที่ทะเยอทะยาน เอาตัวรอด เพื่อผลประโยชน์แล้วก็สามารถเล่นเล่ห์เหลี่ยมหักหลังกันได้แม้จะเป็นเพื่อนร่วมชาติ คนร่วมฟันฝ่างานกันมาก็ตาม อำนาจเงินในโคลอมเบียสามารถพลิกเรื่องหน้ามือเป็นหลังมือได้ในพริบตา เหมือนที่พลิกเป้าหมายว่าจ้างของนักฆ่าได้ หรือพลิกชีวิตคนอย่างกุกฮี จากเด็กที่อนาคตดูริบหรี่ จากความคิดแค่ต้องการอยู่รอด ให้ทะยานอยากไปสู่จุดสูงสุดบนเส้นทางงานของเถื่อน คุณค่าตัวตนใช่อยู่ที่การเรียนรู้เติบโต มีเป้าหมายไปถึงจุดความสำเร็จหรือไม่ ระหว่างทางที่ต้องแลกด้วยอะไรมากมาย แม้แต่ความเป็นคน เมืองนี้จึงเป็นเมืองที่ทำคน ‘หลงทาง’ ‘หลงผิด’ ‘สูญเสียความเป็นมนุษย์’ ดังชื่อเรื่องว่าไว้จริงๆ
ลีลางานโปรดัคชันได้คุณภาพมาตรฐาน แต่การเดินเรื่องอาจดูเรียบๆขาดพลังอยู่บ้าง แม้ว่าเนื้อหาบางช่วงดูจะบิวด์ให้แรงขึ้นได้ก็ตาม ในอีกมุม มองได้ด้านดีว่าเป็นฟิลเรียลๆ ไม่โถมความดรามาประดิษฐ์เกินไป แต่กระนั้นด้วยบทที่กล่าวตอนต้นก็มีความหลวมๆข้ามเหตุผลที่มาที่ไป ก็เลยเป็นความสวนทางกัน ทำให้ภาพรวมไปได้ไม่สุด
สำหรับนักแสดง อีฮีจุน ควอนแฮฮโย โจฮยอนชอล พัคจีฮวาน คิมจงซู อิมซองแจ ปล่อยฝีมือไปตามคาแรคเตอร์ของบทอย่างได้มาตรฐาน ไม่มีอะไรฉีกแปลกแหวกไปจากที่เคยดู บางคนอาจดูเหมือนใช้ไม่ค่อยคุ้มด้วยซ้ำ ส่วน ซงจุงกิ ที่อาจผ่านตัวละครเทาๆโหดๆมาแล้วจากเรื่องก่อน Hopeless (2023) เรื่องนี้อาจยากขึ้นอีกขั้นที่ต้องถ่ายทอดให้เห็นพัฒนาการของตัวละคร ในขณะที่ตัวบทไม่ได้ช่วยเสริมส่งโอกาสอย่างที่บอกไป
โดยรวม ถ้าชมกันแบบไม่คิดอะไรมาก และชอบตัวนักแสดง ก็ดูได้เพลินๆประมาณหนึ่ง มีเรื่องราวให้ติดตาม และพลิกผันไม่ทันคาดเดา (แต่คงไม่เกินความสามารถคาดเดาของคอหนังสายนี้ค่ะ)
Trailer :
ติดตามบทความรีวิวอื่นๆ ข่าวสารบันเทิงเกาหลี หรือพูดคุยกับ WARUMANU ได้ที่ เพจมูฟวีข้ามวันซีรีส์ข้ามคืน