หากใครที่กำลังมองหาภาพยนตร์ที่ถ่ายทอดเรื่องราวความรักแบบละมุนหัวใจด้วยงานภาพและเสียงที่เต็มไปด้วยอารมณ์และทำให้อินตามได้ง่ายๆ น่าจะชอบเรื่องนี้กัน…“Tune in For Love” หรือชื่อภาษาไทย “คลื่นรักสื่อใจ”
Tune in for Love เป็นหนังรักอีกเรื่องที่ได้รับความสนใจในปี 2019 ซึ่งเต็มไปด้วยเสน่ห์และกลิ่นอายละมุน จากผลงานเขียนของ อีซุกยอน (April Snow และ One Fine Spring Day) ร่วมกับ ผู้กำกับจองจีอู (Heart Blackened, Eungyo และ Happy End) และยังได้สองนักแสดงนำที่กำลังอยู่ในความสนใจของผู้ชมทั้งในเกาหลีและต่างประเทศ ทั้งเสน่ห์รูปลักษณ์และฝีไม้ลายมือ อย่าง คิมโกอึน และ จองแฮอิน เป็นคู่ที่เหมาะสมลงตัว ดูมีเคมีเข้ากันดี ร่วมกันถ่ายทอดเรื่องราวที่เต็มไปด้วยอารมณ์หลากหลาย น่ารัก โรแมนซ์หวานซึ้งได้อย่างเป็นธรรมชาติ หรือแม้กระทั่งอารมณ์ ซึ้ง เศร้าปวดใจ
หนังรัก ก็เป็นอีกหนึ่ง genre ที่หาพล็อตและบทฉีกให้สดใหม่ได้ยาก ไม่แพ้หนังรอมคอม (romantic comedy) แต่เรื่องนี้ก็ยังสามารถเล่าเรื่องความรักได้น่าสนใจ โดยเลือกหยิบแง่ของความรักที่ต้องใช้เวลาบ่มเพาะ ยิ่งถ้ามีจุดเริ่มต้นจากสภาพที่เป็นศูนย์หรือติดลบ และเมื่อการบ่มเพาะยังไม่เข้าที่ ก็เกิดอุปสรรคให้ชะงักงัน พรากจากโดยไม่ทันตั้งตัว เมื่อได้โอกาสกลับมาเจอกันใหม่ ก็มีเหตุให้ต้องคลาดกันอีก ครั้งแล้วครั้งเล่า กลายเป็นความสัมพันธ์ที่ติดๆดับๆที่ชวนเอาใจช่วยลุ้น ชวนติดตาม กว่าเขาและเธอจะสามารถประคองมันผ่านไปได้ครบสเต็ป ถึงเวลาที่ใช่ที่ลงตัว สมดังวลีชูกำลังใจ Third Time is a Charm (ความสำเร็จที่จะมาจากความพยายามหลายๆครั้ง) ก็เล่นเอาเหนื่อยแทนเลยล่ะ
องค์ประกอบสำคัญที่ช่วยส่งความละมุนให้หนังได้อย่างดีเยี่ยม คือการผูกเล่าเรื่องราวของเขาและเธอ คลอไปกับรายการเพลงวิทยุที่ชื่อว่า Music Album ซึ่งถือกำเนิดพร้อมกับชะตาการพบกันครั้งแรกของพวกเขา ในปี 1994 และดำเนินต่อเนื่องเรื่อยมาจนถึงปี 2005 มันคืออารมณ์แบบซีรีส์ตระกูล Reply เลย ความย้อนยุคที่ทำให้ผู้ชมอินตามไปกับตัวละครและบรรยากาศ ท่วงทำนองและเนื้อหาของเพลง รวมไปถึงการพูดคุยของดีเจ ที่ส่งผ่านกำลังใจ สื่อวิถีความคิด สะท้อนวัฒนธรรมการใช้ชีวิตในสังคมคนหนุ่มสาวของแต่ละยุคสมัย สอดแทรกไปกับเนื้อหนังได้อย่างลงตัว เหมือนร่วมทำหน้าที่เป็นสื่อรักกลายๆ และปลายทางของเรื่อง ในปี 2005 เริ่มมีการออกอากาศรายการวิทยุแบบใช้สตูดิโอเปิดเป็นครั้งแรก เปิดอรุณสวัสดิ์ฟ้าใหม่ จึงเหมือนเป็นสัญลักษณ์การเปิดหัวใจของกันและกัน สู่โลกความรักที่สดใสของเขาและเธอ เรื่องราวจะเป็นยังไงลองไปติดตามกันดูได้ที่ Netflix นะคะ
.
.
ถึงตรงนี้ถ้าใครอยากจะรู้รายละเอียดของเรื่องมากยิ่งขึ้นลองอ่านกันต่อได้
.
.
.
คำเตือน :
สิ่งจะเล่าต่อไปนี้มีการสปอยล์เรื่องราวบางส่วน
.
.
.
.
.
มาดูเรื่องราวของเขาและเธอกัน…
ปี 1994 วันที่ 1 ตุลาคม เป็นวันแรกของการจัดรายการเพลงวิทยุ Music Album ของดีเจยูยอล … และเป็นวันแรกของ ‘นายเต้าหู้’ กับ ‘หนูเบเกอรี่’
แน่นอนว่า มีซู (รับบทโดย คิมโกอึน) เด็กสาววัย 19 ย่อมเปิดฟัง เป็นแฟนเพลงรายการนี้อย่างแน่นอน เธออยู่ที่ร้านเบเกอรี่เล็กๆ ซึ่งเป็นสมบัติของแม่ ปัจจุบันมีเพียงลูกจ้างเก่าแก่ของแม่ ซึ่งเธอนับถือเรียกว่า พี่อึนจา เป็นคนทำขนม และเธอเป็นผู้ช่วยในยามว่างจากการเรียน เช้าวันนั้นมีเด็กหนุ่มวัยเดียวกัน พรวดเข้ามาทั้งๆที่ร้านยังไม่เปิด ถามหาของกินที่เป็นถั่วเหลือง เธอจึงให้ไปหาที่ร้านมาร์ทข้างๆแทน
เด็กหนุ่มคนนั้น คือ ฮยอนอู (รับบทโดย จองแฮอิน) เขาเพิ่งได้รับทัณฑ์บน ออกจากสถานพินิจ จึงมองหาเต้าหู้กินแก้เคล็ด (ตามความเชื่อของชาวเกาหลี ประมาณว่าล้างซวยแหละ) ฮยอนอูเดินกลับมาที่ร้านอีกครั้ง และสะดุดกับเสียงดีเจยูยอลที่บอกว่า ‘การกระจายเสียง ความรัก และเครื่องบิน มีสิ่งที่เหมือนกัน คือ การเริ่มครั้งแรกจะต้องลงแรงเยอะ’ มันจุดประกายให้เขารู้สึกได้ถึงความปาฏิหาริย์ เพราะช่วงที่เขาติดคุก เขาเคยสวดภาวนาขอให้วันรุ่งขึ้นได้ออกจากคุก แต่ก็ไม่เคยเป็นจริง จนเขาเปลี่ยนใหม่เป็นการขอให้เมื่อออกจากคุก มีสิ่งเปลี่ยนแปลงชีวิต และที่นี่แหละ เขาได้เห็นคนสองคนที่ไม่ใช่ญาติแต่ดีต่อกันดุจคนในครอบครัว ร้านนี้รับพนักงานพาร์ทไทม์ด้วยพอดี ฮยอนอูจึงเชื่อว่านี่คือปาฏิหาริย์เรื่องดีๆที่จะช่วยให้เขาได้เปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเอง จึงสมัครทำงานที่นี่เลย และตั้งใจทำงานอย่างดี
ปี 1997 ร้านเบเกอรี่ เลิกกิจการไปแล้ว เพราะพื้นที่อยู่ในแผนการก่อสร้างพัฒนาเมืองใหม่ มีซูเรียนจนจบมหาวิทยาลัย กำลังจะเริ่มงานใหม่ในวันพรุ่งนี้ คืนนั้นเธอเจอกับฮยอนอูโดยบังเอิญแถวหน้าร้าน จึงมีช่วงเวลาการสานสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดขึ้น มีซูจะไปเริ่มงานวันแรก แต่ฮยอนอูจะไปเข้ากรมเป็นทหารเกณฑ์ มีซูจึงสมัครอีเมล์ไว้ให้ฮยอนอูเพื่อใช้ติดต่อกัน แต่ก็มีอุปสรรคที่ทำให้เขาติดต่อกับเธอไม่ได้…เป็นอีกครั้งที่ต้องคลาดกัน
แม้มีซูจะพยายามติดต่อฮยอนอูผ่านรายการของยูยอล ผ่านโค้ดชื่อโดนัท ถึงนายเต้าหู้ (เพราะโดนัทเป็นขนมที่เคยทำกินกันตอนอยู่ร้านเบเกอรี่) ก็ดูเหมือนจะไม่เป็นผล (ถึง ณ ตอนนี้ ถ้าอยากจะเรียก นายเต้าหู้ vs หนูโดนัท ก็คงจะได้นะ 555)
ปี 2000 มีซูได้ย้ายบ้านไปแล้ว ฮยอนอูที่ออกจากกรม ก็ยังตามรอยความทรงจำเก่าๆของมีซู จนทำให้ในที่สุดก็ติดต่อเธอได้ผ่านอีเมล์ได้ ทั้งคู่จึงได้คุยกันผ่านโทรศัพท์อีกครั้ง แต่ยังไม่ทันไร ก็มีเหตุสุดวิสัยบางอย่างที่ซ้ำเติมแผลเป็นในใจของฮยอนอู และเป็นอีกครั้งที่ฮยอนอูหายจากชีวิตของมีซูไป การคลาดกันครั้งนี้ จึงทำให้มีซูคิดตัดใจหวัง ขอเพียงให้เขาติดต่อมาเฉพาะเมื่อมีเรื่องดีๆเกิดขึ้นก็เพียงพอ
ปี 2005 สำนักพิมพ์ที่มีซูทำอยู่ก็ย้ายออฟฟิศใหม่ งานเขียนของมีซูก็ประสบความสำเร็จ เจ้านาย จองอู (รับบทโดย พัคแฮจุน) ก็เริ่มมีใจให้มีซู ด้านฮยอนอู เขาสอบวัดระดับการศึกษาได้เข้าเรียนต่อมหาลัย และช่วยงานรุ่นพี่ทำงานบริษัทวิดีโอโปรดัคชั่น บริษัทก็เช่าพื้นที่อยู่ชั้นบนของออฟฟิศมีซูนั่นเอง เขาและเธอจึงได้มีโอกาสเจอกันอีกครั้ง ความติดข้องหมองใจทั้งหลายได้ถูกคลี่คลาย ความสัมพันธ์จึงได้เดินหน้าเต็มที่คราวนี้ …. แต่แล้วก็มีเหตุให้ทุกอย่างล้มครืนในคืนเดียว
ฮยอนอูผู้มีอดีตของคนคุก แม้จะเป็นความผิดที่ไม่เต็มใจจะรับ เพราะไม่ได้ทำ แต่ก็ยังสลัดตราบาปนี้ไม่ออก เพราะไม่มีใครในโลกนี้ที่เชื่อเขาสักคน แม้ไม่ได้ทำผิด แต่ก็ฝืนหลีกหนีชะตาไม่ไหว ช่วงเวลาในสถานพินิจที่เขาก็หวังรอเพียง ’วันใหม่’ แต่กลับได้แค่วันเดิมๆ จนมาได้มาพบปาฏิหาริย์ที่ร้านเบเกอรี่ เขาจึงขอเก็บเรื่องไม่ดีไว้ข้างหลัง ขอเพียงช่องว่างเล็กๆให้ได้เป็นคนธรรมดา ขอเพียงมีซูคนเดียวที่เห็นเขาเป็นคนธรรมดา ไม่ใช่คนเลว ก็เพียงพอแล้ว แต่ในวันที่มีซูล้ำเส้นเข้าไปล้วงลึกด้านมืดหม่นของเขา ทำให้ช่องว่างเพียงน้อยนิดที่สร้างไว้เพื่อเป็นลมหายใจแห่งความหวังของเขาหายไป พร้อมกับความไม่มั่นใจว่ามีซูยังจะเชื่อใจเขาอีกต่อไปหรือไม่
อะไรจะทำให้เขาทั้งคู่ได้กลับมาปรับจูนคลื่นหัวใจ ปรับจูนความเชื่อใจต่อกัน และสานสัมพันธ์ที่แตกร้าวให้กลับมาเป็นรักสมหวัง สมกับเป็นปาฏิหาริย์ของฮยอนอูได้ ต้องไปติดตามชมกัน ดูซับไทยได้ที่ Netflix