Move to Heaven เป็นออริจินัลซีรีส์เกาหลีเรื่องใหม่จาก Netflix ความยาว 10 ตอน ที่อัดแน่นไปด้วยความหมายและเรื่องราวอบอุ่นหัวใจ ผ่านการติดตามชีวิตของ ฮันกือรู (รับบทโดย ทังจุนซัง) เด็กหนุ่มที่มีอาการแอสเพอร์เกอร์ กับการทำธุรกิจที่ไม่เคยถูกเล่ามาก่อนในซีรีส์เกาหลี นั่นคือ การเป็น พนักงานเก็บกวาดที่เกิดเหตุหลังความตาย โดยมี โจซังกู (รับบทโดย อีเจฮุน) อาที่มารับหน้าที่เป็นผู้ปกครองดูแลฮันกือรู พร้อมกับ ยุนนามู (รับบทโดย ฮงซึงฮี) เพื่อนเพียงคนเดียวของฮันกือรูที่คอยห่วงใยเขาตลอดเวลา ตัวละครหลักในซีรีส์เรื่องนี้จะเปิดกล่องพาทุกคนสัมผัสกับเรื่องราวที่ไม่มีโอกาสจะถ่ายทอดออกมาของผู้ที่จากไป ระหว่างขั้นตอนการเก็บกวาดของใช้ส่วนตัวของผู้ล่วงลับ ที่ทำเอาหลายคนน้ำตาซึม หรือถึงกับร้องไห้ออกมาโดยไม่รู้ตัว
Korseries ได้มีโอกาสเป็นหนึ่งในสื่อมวลชนที่เข้าร่วมเซสชันการสัมภาษษณ์พิเศษนักแสดงนำของเรื่อง อีเจฮุน และ ทังจุนซัง เราจึงขอนำบทสัมภาษณ์มาให้ทุกคนได้เห็นมุมมองของนักแสดง เพื่อที่จะให้หลายคนเข้าถึงซีรีส์เรื่องนี้กันมากยิ่งขึ้น
เนื่องจากตัวละครหลักของเรื่อง ฮันกือรู มีอาการแอสเพอร์เกอร์ (Asperger Syndrome) หลายคนอาจจะสงสัยว่าอาการนี้เป็นอย่างไร เพื่อที่จะให้เข้าใจอาการนี้มากยิ่งขึ้น ทังจุนซัง ผู้ถ่ายทอดบทบาท ฮันกือรู ได้อธิบายอาการแอสเพอร์เกอร์นี้ ว่า
“อาการแอสเพอร์เกอร์จะทำให้แสดงออกความรู้สึกได้น้อย เข้าใจอารมณ์ความรู้สึกต่าง ๆ ได้ไม่ดีเท่าไหร่ ทำให้สื่อสารกับอีกฝ่ายได้ยาก เช่น เวลาได้ยินใครพูดอะไร ก็จะเข้าใจตามคำพูดนั้นตรง ๆ เลย หรือ ถ้ามีสิ่งที่คิดว่าจะต้องทำ ก็จะต้องทำให้ได้เท่านั้น แต่ในมุมกลับกันจะมีพัฒนาการที่ดีในเรื่องของความจำที่เป็นเลิศ อย่างตัวกือรูเอง ถ้าได้เห็นคู่มือสินค้าหรือรายชื่อชนิดปลาแค่ครั้งเดียว ก็สามารถท่องสิ่งที่เห็นออกมาได้ยาว ๆ เลยครับ”
อีเจฮุน เจ้าของบทบาท โจซังกู อาของกือรู ได้เผยถึงความท้าทายในเรื่องที่ต้องฝึกฝนศิลปะป้องกันตัว เผื่อถ่ายทอดบทบาทออกมาให้สมจริง ซึ่งนักแสดงหนุ่มได้เผยว่าเขาหักโหมจนเจ็บตัวระหว่างการฝึกซ้อม
อีเจฮุน : “ในเรื่องนี้ มีฉากที่ผมต้องแสดงออกมาให้ร่างกายดูแข็งแรงและแนวแอคชั่นเยอะมากครับ ผมเลยต้องฝึกกับทีมศิลปะป้องกันตัวเยอะหน่อย แต่ก็แอบเสียดายที่ช่วงเวลาฝึกนั้นไม่ได้ยาวมาก ผมอยากแสดงออกมาให้ดูแข็งแรงและเท่ ก็เลยทุ่มสุดตัว ทำให้มีการบาดเจ็บเกิดขึ้น อย่างตอนถ่ายฉากต่อยมวย ต่อยกระสอบทราย ผมหักโหมไปหน่อยทำให้เจ็บข้อมือ ต้องใส่เฝือกที่มืออยู่เดือนนึงเลย ช่วงนั้นก็ลำบากอยู่บ้าง แต่ก็รู้สึกพึงพอใจมากครับที่ได้ลองแสดงฉากต่อยมวยหรือศิลปะต่อสู้ป้องกันตัวต่าง ๆ ด้วยตัวเองผ่านผลงานชิ้นนี้ครับ”
ระหว่างการดำเนินเรื่องราว ซีรีส์ได้ถ่ายทอดให้เห็นถึงสังคมตัวคนเดียวของเกาหลี ที่สะท้อนสังคมโลกในยุคปัจจุบันที่มนุษย์จำนวนมากต่างใช้ชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยว นักแสดงทั้งสองได้มองย้อนกลับไปยังชีวิตของเขา ว่า
อีเจฮุน : “ตัวผมเองยังอาศัยอยู่กับครอบครัว ไม่ได้แยกออกมาอยู่คนเดียว ก็เลยยังไม่เคยรู้สึกว่าโดดเดี่ยวหรือเหงา แต่พอได้มาแสดงซีรีส์เรื่องนี้เลยได้รู้ว่า “ช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกัน มันไม่ได้อยู่ตลอดไปสินะ” สักวันหนึ่งก็ต้องเจอกับวินาทีที่แยกจากกัน แล้วตัวเราจะรับมือกับมันยังไง ทำให้ผมคิดถึงจุดนี้เยอะมาก ก่อนหน้านี้ไม่เคยได้คิดถึงเรื่องนี้อย่างละเอียดลึกซึ้งเท่าไหร่ ทำให้รู้สึกขอบคุณการที่ผมได้มีชีวิตหายใจอยู่ ณ ตอนนี้ และอยากจะพูดคำดี ๆ ให้กับคนรอบตัวที่ผมรักได้ฟัง ทำให้รู้ว่าถึงแม้จะไม่ได้เจอกันบ่อย แต่การติดต่อไปหาและพูดคุยกันนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญมากครับ”
ทังจุนซัง : “ผมโทรหาคนรอบตัว เพื่อนหรือคนรู้จักที่ไม่ได้ติดต่อกันมานาน ผมก็มีช่วงที่เหงาหรือรอการติดต่อจากเพื่อน ๆ เหมือนกัน เลยลองเปลี่ยนเป็นฝ่ายที่เริ่มติดต่อไปหาก่อนแทนครับ”
แน่นอนว่าคีย์เวิร์ดสำคัญในเรื่องที่ถ่ายทอดออกมานั้น ได้ให้ผู้ชมตระหนักถึงเรื่อง ‘ชีวิตและความตาย’ ซึ่ง อีเจฮุน และ ทังจุนซัง เผยมุมมองของเขาที่มีต่อเรื่องนี้ รวมไปถึง สิ่งที่พวกเขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับชีวิต ว่า
ทังจุนซัง : “ที่จริงผมยังเพิ่งอายุ 19 ปี แต่เอาจริง ๆ แล้ว มันก็เป็นเรื่องที่คนอายุเท่านี้สามารถจะนึกถึงได้ แต่ผมไม่เคยคิดเรื่องของ “ชีวิตและความตาย” มากขนาดนั้น แต่พอได้แสดงเรื่องนี้ที่เกี่ยวกับการจัดของให้คนที่จากไป ทำให้ได้ย้อนคิดว่ามีสิ่งของอะไรที่สื่อถึงตัวเราบ้างนะ หรือคิดว่าถ้าเราตายไปแล้ว หลังจากนั้นจะเป็นยังไงนะ คิดแค่อะไรแบบนี้ ไม่ได้คิดถึง “ชีวิตและความตาย” ในเชิงปรัชญาหรือคิดถึงเรื่องชีวิตและความตายอย่างจริงจังขนาดนั้นครับ
หลังจากผลงานนี้ทำให้ผมรู้สึกว่าคนรอบตัวนั้นสำคัญมาก ไม่ว่าใคร ๆ ก็ต้องเคยรู้สึกเหงาอยู่แล้ว ผมเองก็เช่นกัน ผมเลยได้เรียนรู้ว่าคนรอบตัวนั้นเป็นบุคคลที่สำคัญต่อตัวผมมากครับ”
อีเจฮุน : “ผมพยายามคิดและรู้สึกถึงคีย์เวิร์ดคำว่า “ชีวิตและความตาย” ผ่านผลงานชิ้นนี้ การใช้ชีวิตมีทั้งดีใจ โกรธ เศร้า สุข ผมหวังว่าตอนที่เผชิญหน้ากับความตายผมจะไม่เหงา และได้คิดว่าช่วงเวลาที่คนที่ผมสนิทกำลังจะจากไป ผมอยากจะคอยอยู่เคียงข้างเขาครับ
ผมรู้สึกว่าต้องคอยดูแลคนรอบตัวให้ดี สังคมเราให้ความสำคัญกับความฝัน ความมั่งคั่ง การหาเงินของตัวเอง ถึงแม้มันจะเป็นสิ่งที่สำคัญแต่มันก็ช่าง…(หยุดพูดไป แต่สื่อความหมายในสีหน้าและน้ำเสียงได้ว่า น่าเสียดาย/น่าเศร้า)
ผมคิดว่าสุขภาพและคนที่อยู่รอบตัวเรา คือผลลัพธ์ที่แสดงให้เห็นว่าที่ผ่านมาเราใช้ชีวิตมายังไงบ้าง ท้ายที่สุดแล้ว “คน” ก็คือสิ่งสำคัญ รู้สึกว่าต้องดีกับคนรอบตัวให้มากกว่านี้ผ่านผลงานชิ้นนี้ครับ”
อีกสิ่งที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก คือการนำเสนออาชีพที่แปลกใหม่ ซึ่งไม่เคยเห็นมาก่อนในซีรีส์เกาหลี ซึ่งนักแสดงทั้งสองเผยความรู้สึกยกย่องอาชีพนี้ ว่า
อีเจฮุน : “การมีอยู่ของอาชีพนี้เป็นอะไรที่มีค่าและสมควรได้รับความเคารพ เป็นงานที่ไม่ได้ทำง่าย ๆ ผมคิดว่าความเคารพที่มีต่อผู้ที่ล่วงลับเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ไม่ใช่งานที่จะทำแค่เพื่อหาเงินเท่านั้น ผมหวังว่าถ้าหลังจากนี้คนได้รู้จักและเลือกที่จะประกอบอาชีพนี้มากขึ้น จะได้รู้ว่าเป็นอาชีพที่ต้องมีจิตใจอันยิ่งใหญ่ที่เคารพผู้ล่วงลับและสามารถสื่อสารสิ่งต่าง ๆ ให้กับครอบครัวของเขาได้”
ทังจุนซัง : “ผมคิดว่าถ้าวันหนึ่งต้องจากไป ก็คงสามารถฝากเรื่องไว้กับบริษัทเก็บกวาดที่เกิดเหตุหลังความตายได้ รู้สึกว่าตอนที่ยังมีลมหายใจอยู่ ต้องใช้ชีวิตอย่างดี เพื่อที่เวลาพนักงานมาเก็บกวาดจะไม่ได้เหนื่อยเกินไป ไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับเขา รู้สึกว่าเป็นอาชีพที่ยอดเยี่ยมและไม่ใช่งานธรรมดา ๆ เลยครับ”
สามารถรับชม Move to Heaven ทั้ง 10 ตอนได้ที่ Netflix
ติดตามข่าวสารและสิ่งที่น่าสนใจจากเราได้ที่
Facebook Fanpage : facebook.com/korseries
Twitter : twitter.com/korseries
Website : korseries.com
Youtube : Korseries
ขอความกรุณาไม่คัดลอก-ดัดแปลงบทความไปโพสต์ลงในเพจ-สำนักข่าวอื่น รวมถึงไม่นำบทความไปอ่านลง YouTube หรือแพลตฟอร์มใด ๆ โปรดช่วยแชร์เป็นลิ้งก์นะคะ ♡
Photo : Netflix