Moonlit Winter เป็นภาพยนตร์เมโลดรามาโรมานซ์ที่ถ่ายทอดเรื่องราวที่มีคุณค่าทางใจ และจะพาไปละเลียดความสวยงามของอารมณ์บนฉากหลังของฤดูแห่งหิมะขาวโพลนของเมืองโอตารุ บนเกาะฮอกไกโดของญี่ปุ่นที่สวยงาม เล่าถึงรักแรกอันเป็นความรักบริสุทธิ์ที่ไม่สามารถงอกงามต่อได้ เพราะสวนทางกรอบสังคม ปีแล้วปีเล่าจึงผ่านไปด้วยการเก็บงำเอาความรู้สึกผิดมาพันธนาการชีวิต ดุจกองหิมะอันหนาวเหน็บที่พอกพูนกัดเซาะหัวใจ ทับถมความเย็นชาต่อโลกรอบตัว แต่ในวันที่กล้าเผชิญหน้าความกลัว ได้ปลดวางอย่างเข้าใจ ก็เหมือนได้เคลียร์หิมะหนาออกไปจากทางเดิน เติมด้วยแสงจันทร์ละมุนสาดส่อง ชีวิตจึงสามารถเดินต่อไปได้ในทิศทางที่เหมาะสม
เรื่องราวเริ่มต้นจากจดหมายหนึ่งฉบับ ที่เดินทางจากญี่ปุ่นมาถึงเกาหลี ตัวผู้เขียนเองที่ยังทำใจส่งไม่ได้ แม้จะเขียนซ้ำมาแล้วหลายๆครั้ง แต่ป้าของเธอได้จัดการส่งให้โดยเธอไม่รู้ ส่วนผู้รับที่ยังไม่ทันได้เห็นจดหมาย ก็ถูกแอบเปิดอ่านโดยลูกสาวของเธอเองเสียก่อน
เพราะจดหมายนั้นมาจากเพื่อนเก่าเมื่อ 20 ปีก่อน ที่ไม่ได้ติดต่อกันมานานของยุนฮี (รับบทโดย คิมฮีแอ) แม่เลี้ยงเดี่ยวของ แซบอม (รับบทโดย คิมโซฮเย) แซบอมเกิดความสงสัยในจดหมายจากแดนไกล จนต้องแอบเปิดอ่าน จึงพบว่าเนื้อความนัยดูจะมีความหมายต่อชีวิตแม่ แต่ก็ยังไม่สามารถเข้าใจเรื่องราวได้ แซบอมจึงไปหาคำตอบจากลุง จากพ่อ (รับบทโดย ยูแจมยอง) ว่าแม่ของเธอเคยมีชีวิตเป็นอย่างไร ทำไมพ่อและแม่จึงเลิกกัน พ่อก็บอกได้เพียงว่า แม่เป็นคนแบบที่ทำให้พ่อรู้สึกเหงา ส่วนตัวแซบอมก็มองว่า แม่ดูเหงาจริง มีบางอย่างติดค้างในใจแม่ตลอดเวลา ถึงขั้นคิดว่าเป็นเพราะเธอเลือกจะอยู่กับแม่ ไม่ใช่พ่อ หวังจะเป็นเพื่อนแม่ แต่กลับกลายเป็นภาระให้แม่ต้องทำงานหนักจนไม่มีความสุขหรือไม่
เพราะแซบอมกำลังจะไปเรียนต่อที่โซลในอนาคตอันใกล้ เธอจึงเสนอว่าจะนำเงินเก็บของเธอชวนแม่ไปเที่ยวญี่ปุ่น ไปย่ำหิมะหนาๆที่เมืองโอตารุ เมืองเล็กๆที่เงียบสงบ อยากใช้เวลากับแม่ ให้แม่ได้พักผ่อน มีความสุขสักครั้ง ด้วยแผนการชงโอกาสให้แม่ได้ไปเจอเพื่อนในจดหมายคนนั้น โดยแซบอมมีผู้ช่วยส่วนตัวสำหรับภารกิจนี้ คือแฟนหนุ่มของเธอ คยองซู (รับบทโดย ซองยูบิน) เขาเดินทางไปเจอกับเธอที่นั่นโดยยุนฮีไม่รู้ เพื่อสืบเสาะหาที่อยู่ตามจดหมายให้แซบอมล่วงหน้า
หนังจะค่อยๆเฉลยเล่าที่มาของปมชีวิตของยุนฮีที่ผูกพันกับเพื่อนของเธอ คาตาเสะ จุน (รับบทโดย นากามูระ ยูโกะ) เป็นลีลาการเล่าที่น่าสนใจน่าติดตาม ซึ่งจริงๆแล้วก็แอบทยอยแพลมๆมาตั้งแต่ต้นเรื่องให้คิดปะติดปะต่อและพอคาดเดาได้เลาๆ จากบทที่เลียบๆเคียงๆ อีกทั้งถ้าใครอ่านเรื่องย่อหรือบทรีวิวอื่นๆมาบ้าง ก็อาจได้รู้แล้วว่า ยุนฮีและจุนเป็นรักแรกและรักเดียวของกันและกันเมื่อยี่สิบปีก่อนเมื่อครั้งที่พวกเธอได้เจอกันในเกาหลี
แน่นอนว่าในยุคสมัยนั้น การยอมรับในเรื่องความสัมพันธ์ของ LGBTQ นั้น เป็นไปได้ยาก ความผูกพันของพวกเธอจึงได้แต่ถูกเก็บงำอัดอั้นไว้ในใจ ไม่สามารถเปิดเผยออกมา และชีวิตก็ยังมาตัดขาดจากไปอยู่คนละประเทศ ต่างคนต่างทำได้แค่ฝันถึงกัน จุนซึ่งเขียนจดหมายหายุนฮีทุกครั้งที่ฝันถึง แต่ก็ไม่สามารถทำใจส่งจดหมายออกไปได้ เพราะคิดว่ายุนฮีคงมีครอบครัวตามครรลองของสังคมไปแล้ว
นอกเหนือจากนี้ หนังก็ยังสะท้อนให้เห็นอีกหลายๆปัญหาที่สองตัวละครต้องเผชิญในสังคม เช่นความเป็นลูกครึ่งญี่ปุ่นเกาหลีของจุนซึ่งหาที่ยืนลำบาก พ่อแม่หย่าร้าง สังคมความเหลื่อมล้ำทางเพศที่ทำให้ยุนฮีต้องเสียสละโอกาสการเรียนให้พี่ชาย และการที่เธอถูกเหมาเอาว่าเป็นโรคจิตทันทีที่เธอสารภาพกับแม่ว่ารักจุน และแก้ปัญหาด้วยการจับเธอแต่งงานมีครอบครัว ให้ใช้ชีวิตเยี่ยงคนปกติ แต่กลายเป็นหย่าร้างที่ตามมา มุมเหล่านี้ล้วนสร้างความปวดใจสงสารให้กับผู้ชม และต้องติดตามดูว่า ด้วยความมุ่งมั่นช่วยเหลือของแซบอมและป้าของจุน จะทำให้ยุนฮีและจุนปลดปล่อยพันธนาการทางใจนี้ออกอย่างไร
แต่ในอีกมุม ความผูกพันของทั้งคู่ก็สามารถสร้างความซาบซึ้งอบอุ่นหัวใจให้ผู้ชมได้ เช่น การฝันถึงกัน การเขียนจดหมายแต่ตัดใจส่งไม่ได้ เป็นสิ่งที่มาเฉลยเอาภายหลังว่าทั้งคู่ก็ทำเช่นเดียวกัน สมกับที่ยุนฮีเคยบอกอย่างมั่นใจว่าเธอมีอะไรคล้ายกับจุนตั้งแต่ตอนเจอกันใหม่ๆ เป็นความหมายซ้อนทั้งในเรื่องความรักและความคิด
นอกจากนี้ ก็ยังมีความฟิลกู้ดจากสิ่งที่แซบอมตั้งใจทำเพื่อแม่ โมเมนท์แม่ลูกคู่นี้เป็นธรรมชาติแต่ก็น่ารักและกินใจดี การไปทริปนี้มีแต่ได้กับได้ นอกจากเรื่องของยุนฮีกับจุนแล้ว ระหว่างยุนฮีกับแซบอมก็ได้ช่วงเวลาดีๆที่เข้าใจกัน สนิทสนมกัน และทำให้ยุนฮีตระหนักได้ว่า ลูกสาวที่น่ารักตรงหน้าคนนี้แหละ คือเป้าหมายที่เธอจะทำชีวิตให้ดีขึ้น รวมไปถึงแซบอมกับคยองซูก็ได้ช่วงเวลาที่พัฒนาความสัมพันธ์ดีขึ้นไปอีกด้วย
ในการเดินเรื่องจังหวะเนิบๆเรียบๆ เรื่องนี้แฝงความสวยงามในวิธีเล่าเรื่อง หลายๆความหมายนัยแทรกแฝงมาตลอดเรื่อง เช่น การ upcycle ของคยองซู ก็เหมือนการชุบชีวิต นิสัยถ่ายภาพสรรพสิ่งข้าวของแซบอมสะท้อนวิถีการมองโลก กล้องที่บันทึกความทรงจำรุ่นแม่ตกทอดมามีชีวิตชีวาใหม่ในรุ่นลูก อุปมาอุปไมยของกองหิมะพะเนิน ความเย็นชา เมืองเหงาๆ เฝ้ารอจันทร์เต็มดวง และอีกมากมาย เมื่อรวมกับเทคนิคงาน cinematography มุมกล้อง ภาพแสงเสียง จังหวะการแช่ภาพ และโลเคชัน ล้วนตอบโจทย์ให้ผู้ชมสายดื่มด่ำความหมาย ชมชอบการละเลียดอารมณ์ ถูกตาต้องใจได้ไม่ยาก โดยเฉพาะคนที่คุ้นเคยเสน่ห์กลิ่นอายสไตล์งานญี่ปุ่น และความโรมานซ์ที่ไม่โจ่งแจ้งแต่กินใจ เหนืออื่นใด ด้วยเรื่องราวที่มีเนื้อหาดีๆ มีคุณค่าทางใจ จึงทำให้เป็นหนังที่ได้รับรางวัลจากเวทีใหญ่ๆในหลากหลายสาขา ทั้งตัวบท ผู้กำกับ นักแสดง เพลงประกอบ เป็นต้น ใครเป็นสาวกงานสายนี้ ห้ามพลาด!
Trailer :
ติดตามบทความและงานรีวิวอื่นๆของ WARUMANU ได้ที่ https://www.facebook.com/MoviesAllDay.SeriesAllNight/