SF8 เป็นละครสั้นคุณภาพในกลิ่นอายแบบภาพยนตร์ ซึ่งเป็นพลอตไซไฟ (Sci-Fi หรือ Science Fiction) ผลงานนี้เป็นงานสร้างสรรค์มิติใหม่ของช่อง MBC ที่เป็นความร่วมมือกับ สมาคมผู้กำกับของเกาหลี (DGK หรือ Directors Guild of Korea) และ Wavve ผู้ให้บริการ OTT หรือแพลตฟอร์มวิดีโอคอนเทนท์บนอินเตอร์เน็ตรายใหญ่ของเกาหลี
หลังจากที่ก่อนหน้านี้ ผู้เขียนได้ลงรีวิว 4 เรื่องแรกไปแล้ว สำหรับบทความนี้จะเป็นรีวิวภาคต่อที่จะพูดถึง 4 เรื่องสุดท้ายของชุดละครสั้นไซไฟ SF8 ที่สนุกจบได้ในเวลาเพียงไม่ถึงชั่วโมง แต่ยังได้เนื้อหาสาระแน๊นแน่น มาดูกันเลยค่ะ
อ่าน รีวิวละครชุด SF8 | โลกยุคล้ำๆ จะใช่สังคมสมบูรณ์แบบที่ปรารถนาหรือไม่ (Part 1/2)
เรื่องที่ 5 : Baby It’s Over Outside
ผลงาน ผู้กำกับอันกุกจิน (Alice in Earnestland – 2015)
Genre : ดราม่า
เรื่องย่อ : รายงานข่าวทางทีวีประกาศข่าวร้ายเรื่องความพยายามครั้งสุดท้ายขององค์กรนาซ่าที่จะทำลายอุกาบาตที่กำลังพุ่งเข้าชนโลก เหลือเวลาอีกเพียงสัปดาห์เดียว โลกก็จะถึงจุดอวสาน ผู้คนที่มีพลังความสามารถพิเศษแบบแปลกๆต่างพากันเผยตัวออกมาหวังช่วยกันกอบกู้โลก
คิมนัมอูเป็นตำรวจใหม่ประจำสถานีย่อยเล็กๆแห่งหนึ่ง เขาทุ่มเททั้งชีวิตอยู่หลายปีกว่าจะได้มาเป็นตำรวจ หมายความว่าความพยายามนั้นอาจสูญเปล่า ในขณะที่กำลังออกลาดตระเวนประจำวัน เขาได้เจอกับฮเยฮวา เธอชวนเขามาช่วยกันปกป้องโลกด้วยการเดินทางขึ้นเขาไปหาบุคคลสำคัญคนหนึ่ง เขาตกหลุมรักเธอตั้งแต่แรกพบ
ทุกอย่างจะจบสิ้นเมื่อโลกดับสูญ จริงๆหรือ
เรื่องนี้คงมีแรงบันดาลใจมาจากความเชื่อว่าวันหนึ่งโลกจะแตก แม้จะเป็นประเด็นเก่าที่เคยหยิบยกไปสร้างเป็นหนังฮอลลีวู้ดบ่อยมากในช่วงสมัยหนึ่ง แต่การหยิบมาปัดฝุ่นพูดถึงใหม่ครั้งนี้ มีมุมมองที่น่าสนใจดีด้วยการนำเสนอด้านบวกที่ไร้ความโกลาหลอลหม่าน เป็นการแสดงความรักส่วนรวม ทุกคนพร้อมใจเทหมดหน้าตัก คนที่มีความสามารถพิเศษแปลกๆ จิ๊บจ๊อยที่ไม่เคยกล้าอวดมาก่อน ก็พากันออกมาแสดงตนร่วมเป็นยอดมนุษย์ที่เผื่ออาจช่วยโลกได้สักทาง หรือคู่รักที่ทวีคูณความรักต่อกัน สวนทางกับเวลาที่มีเหลืออยู่อันน้อยนิด
แต่สำหรับคิมนัมอูที่ยอมแลกชีวิตอิสระกับการปิดตัวเองอ่านหนังสือสอบตำรวจในห้องเล็กๆยาวนานถึง 4 ปี กลายเป็นโลกลำพังที่ดุจลบเลือนความทรงจำดีๆรอบตัวไปหมด แต่โลกสดใสที่วาดหวังไว้หลังบรรจุ กลับกลายเป็นวันสิ้นโลก ช่างน่าเศร้ากับความตายสุดเหงาที่รอเขาอยู่
บางอย่างในตัวฮเยฮวาดึงดูดความสนใจเขา จะใช่พลังพิเศษที่เธอมี และไม่ยอมเปิดเผยว่าคืออะไร หรือจะเป็นเพราะเขาเริ่มมีใจให้เธอ หรือจะเป็นแค่ความรู้สึกเดจาวูแว้บๆ ทำให้เขาตัดสินใจร่วมดั้นด้นกับเธอไปพบผู้มีพลังคนสำคัญคนหนึ่ง และที่นั่นเขาก็ได้พบพลังที่ไม่คาดคิด รวมถึงผู้ชมที่จะคาดไม่ถึงด้วย
เรื่องนี้แฝงข้อคิดเรื่องการใช้ชีวิตให้คุ้มค่า ประหนึ่งวันนี้คือวันสุดท้าย มีนัยสะท้อนเรื่องพลังความรักที่จะปกป้องโลกให้ดำรงอยู่ได้ ความปรารถนาดีต่อกัน ความเสียสละจะพิทักษ์โลกร่วมกันได้
ถึงแม้ปมแกนหลักของเรื่องจะเป็นเรื่องใหญ่ แต่การเดินเรื่องก็ไม่ได้เร่งเร้าอะไร ออกจะเรียบๆด้วยซ้ำ เน้นไปที่ปมสงสัยในพลังของตัวละครหลัก คืออะไร จะช่วยโลกได้จริงหรือไม่ จังหวะความพีคจะมาอยู่ที่ท้ายเรื่อง ความแปลกของอารมณ์ลุ้นวันสิ้นโลกพร้อมๆกับเชียร์ความสัมพันธ์ของพระนาง และบทจบที่ฉลาดดี มีเซอร์ไพรซ์ พลิกให้เรื่องสนุกขึ้นมาทันที กระตุกความอยากย้อนกลับไปดูเรื่องราวเรียบๆนั้นใหม่อีกรอบเลยเชียว
ส่วนงานโปรดัคชัน เรื่องนี้มีฉากซีจีแฟนตาซีสวยงาม ถ้าไม่คิดยุบยิบมาก ก็ถือสวยงามเหมาะสมกับสเกลงบของเขาแหละ
นักแสดงเรื่องนี้ มีทั้ง ดาวิดอี ชนอึนซู ฮวังจองมิน แบแฮซอง คิมกังฮยอน
Trailer :
เรื่องที่ 6 : White Crow
ผลงาน ผู้กำกับจางชอลซู (Secretly Greatly – 2013, Bedevilled – 2010)
Genre : สยองขวัญ
เรื่องย่อ : จูโน เป็นนักเล่นเกมออนไลน์ และเป็น BJ ที่มีชื่อเสียง มีผู้ติดตามมากถึง 8 แสนคน จู่ๆวันหนึ่ง เพื่อนเก่าสมัยเรียนก็เข้ามาร่วมแชตในรายการของเธอ จุดประเด็นให้ผู้คนคลางแคลงการบิดเบือนอดีตที่เคยถูกบุลลี่สมัยเรียนจนฆ่าตัวตาย แล้วศัลยกรรมหนีตัวตน ดังนั้น เพื่อกอบกู้ชื่อเสียง รายได้ ฐานแฟนคลับ และโต้แย้งการกล่าวหานี้ เธอจึงลงเล่นประเดิมเกมเวอร์ชันใหม่ของ IOM (Inside of Mind) เป็นเกมที่จะกระเทาะบาดแผลอดีตในใจขึ้นมาให้สู้เอาชนะ แต่เมื่อเธอไม่สามารถจัดการเคลียร์ปมแผลจากเกมนั้นได้ จึงยิ่งติดกับดักอยู่ในเกมอย่างเจ็บปวดทรมานยิ่งขึ้น
(BJ เป็นตัวย่อของ Broadcast Jockeys คือ ผู้จัดรายการแบบออกอากาศสดผ่านอินเตอร์เน็ต คุยตอบโต้กับผู้ชมไปได้พร้อมๆกันในรายการ เป็นเทรนด์ใหม่สร้างเวทีอิสระบนโลกออนไลน์ ที่ทำให้คนธรรมดาๆกลายเป็นไอดอลมีชื่อเสียง มีรายได้ ในเกาหลีฮิตมาก จะเห็นบ่อยๆในซีรีส์ เนื้อหามักเน้นโชว์ความสามารถ เช่น การกิน (หรือที่เรียกการกินโชว์ม็อกบัง (mok-bang) เรื่องสวยๆงามๆ ร้องรำทำเพลง หรือ เกมออนไลน์ เป็นต้น โดยมีเว็บไซต์อาฟรีคาทีวี (AfreecaTV) ชื่อคือการย่อคำมาจากคอนเซ็ปต์ Any Free Broadcasting TV รองรับการจัดรายการไลฟ์สำเร็จรูปนี้)
เธอจะเลือกเป็น อีกาขาว หรือ อีกาดำ ดีหละ
ชื่อของราชินีเกมเมอร์ ‘จูโน’ มีที่มาจากชื่อโรมันของเทพีเฮร่าของกรีก ซึ่งเป็นเทพีที่เต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา ก็เป็นการใบ้ผู้ชมให้รู้ว่า อดีตของเธอคงมีความผิดที่จะทำเป็นกลบเกลื่อน ปิดบังหรือไม่จดจำ ก็คงจะยากในเมื่อเธอเป็นคนดัง เป็นบุคคลสาธารณะ ที่มีผู้คนจับตามอง และพร้อมจะขุดคุ้ยวิพากษ์วิจารณ์
จากเกมเพื่อความบันเทิง วันหนึ่งได้กลายมาเป็นเกมชีวิตไป ใช้นัยของการเอาชนะเกม ก็คือการเอาชนะใจตัวเอง จัดการกับความเจ็บปวด ความกลัว สิ่งผิดพลาด เป็นการเคลียร์บาดแผลตราบาปในใจ
ละครจะเล่าเรื่องผ่านการเป็นเนื้อหาในเกม ล้อกลไกการเล่น ที่มีเลเวลมีด่านที่ต้องผ่านให้ได้ ถ้าผ่านไม่ได้ ก็ต้องเล่นซ้ำ หมายความว่า ถ้ามันเป็นความเจ็บปวดที่เหมือนติดบ่วง เจ็บซ้ำๆทวีคูณไป มี NPC ในเกม (ตัวละครในเกมที่ผู้เล่นไม่ได้ควบคุมเอง ถือว่าเป็นตัวแปรที่จัดการยาก ให้นึกถึงพัคฮุนใน Memories of Alhambra) อันนี้ก็ล้อคนติดเกมดีนะ
และละครก็จะค่อยๆเฉลยความจริงให้ปรากฏในเนื้อเกม พร้อมๆกับการลุ้นความสามารถและสติของจูโน ว่าจะตัดสินใจอย่างไร และเรื่องทั้งหมดจะจบอย่างไร ออกจากเกมได้หรือไม่
เสน่ห์ที่น่าสนใจอีกอย่างของเรื่องนี้คือ ตอนผู้เขียนอ่านเรื่องย่อแล้วเห็นว่าระบุ genre ไว้เป็น horror นี่ นึกภาพไม่ออกเลยว่าจะมาได้อย่างไร แต่ผู้กำกับก็สร้างฟิลหลอนสยอง ระทึกขนลุกได้เยี่ยมเลย เป็นนัยสะท้อนความน่ากลัวของจิตมนุษย์ที่ซับซ้อน
นอกจากความสนุกตื่นเต้น มีปมปริศนาให้ติดตามแล้ว เรื่องนี้ยังแฝงการสะท้อนสังคมจริงของปัญหาบุลลี่ในโรงเรียนความเครียดความกดดันของคนเกาหลีโดยเฉพาะวัยรุ่นหนุ่มสาวที่นำไปสู่การฆ่าตัวตาย สะท้อนสังคมของโลกโซเชียลโลกเกม
ที่มาสำคัญของปัญหา ก็คือความอิจฉาริษยาที่เป็นเหมือนคราบดำที่บดบังหัวใจบริสุทธิ์ เหมือนที่เทพอพอลโลในตำนานกรีก สาปสีดำใส่อีกา จากเดิมที่อีกาสีขาวเลยกลายเป็นอีกาสีดำนำโชคร้ายตั้งแต่นั้นมา สุดท้ายแล้ว จูโน จะเลือกเป็น อีกาขาว หรือ อีกาดำ ก็ต้องตามไปดูกันค่ะ ฮานิแสดงไว้ดีทีเดียวเลย
Trailer :
เรื่องที่ 7 : Love Virtually
ผลงาน ผู้กำกับอ๊คกีฮวาน (Fashion King – 2014, Five Senses of Ero – 2009, The Art of Seduction – 2005)
Genre : โรแมนติคคอมมาดี้
เรื่องย่อ : ในอนาคตอันใกล้ ประชากรมากกว่าครึ่งต่างพากันใช้แอปหาคู่ ที่ชื่อว่า Love Virtually (ความรักเสมือนจริง) ผู้ใช้เพียงสร้างไอดี แล้วล็อกอินเข้าไปเลือกหาคู่เดตในรูปลักษณ์แบบที่ตัวเองพึงพอใจ และคบหากันไปในโลกเสมือนจริงได้ ซอมินจุน (ชเวซีวอน) และ ฮันจีวอน (ยูอี) เป็นคู่รักในแอปนี้ ภายใต้ชื่อไอดีว่า ลีโอนาร์โด และ จีเซล ทั้งคู่ใช้ภาพตัวเองสมัยยังไม่ได้ศัลยกรรมความงามอัพโหลดไว้บนแอป ซึ่งตอนนี้ในโลกจริง ทั้งคู่ก็เปลี่ยนแปลงหน้าตาไปหล่อสวยแล้ว ในวันที่ลีโอนาร์โดและจีเซลคบหาดูใจกันมาครบ 100 วัน นาทีที่พวกเขากำลังจะมีคิสแรกกัน ระบบเกิดล่มกระทันหัน ความรักของพวกเขาจึงค้างเติ่ง มื่อไม่รู้ว่าระบบจะกู้กลับคืนมาได้เมื่อไหร่ พวกเขาจึงกระวนกระวายในการติดตามหากันและกันอย่างยากลำบาก เพราะรู้จักกันเพียงชื่อไอดีและหน้าตาก่อนศัลย์
‘รักเสมือนจริง vs รักแท้จริง’
เรื่องนี้ อาจจะเป็นเรื่องเดียวที่เอาใจตลาดแมสอย่างชัดเจน เพราะเป็นงานรอมคอม ย่อยง่าย แถมยังดึงดูดด้วยนักแสดงแม่เหล็กอย่างซีวอนและยูอี เป็นการจับคู่ที่ดีมาก ความสูงสมดุลสวยงาม เคมีดีงามเนียนๆ
ทีเด็ดที่จะไม่มีโอกาสหาชมได้ที่ไหนเลย ก็คือ ถ้าซีวอนหน้าตาไม่หล่อ ยูอีหน้าตาไม่สวย จะเป็นอย่างไร เพราะทั้งคู่จะมีบททเป็นหนุ่มสาวก่อนการศัลยกรรม และได้ใช้แอป ‘รักเสมือนจริง’ จนถูกใจกันและกันแบบไม่แคร์รูปลักษณ์
ถึงจะเป็นรอมคอม ก็ยังแอบแซะเบาๆ เรื่องศัลยกรรมของหนุ่มสาวเกาหลี จิกหน่อยๆกับโลกที่ยังตัดสินคนจากรูปลักษณ์ มีความเหลื่อมล้ำด้วยหน้าตา และที่ชวนขำมาก คือการล้อเลียน air pods เป็น bean pods คือ อุปกรณ์ชิ้นเล็กๆ อันทรงประสิทธิภาพของแอป หน้าตาเหมือนเม็ดถั่ว (ที่ใหญ่กว่าหน่อย) เอามาแปะไว้ที่ขมับ ก็เข้าสู่โลกเวอร์ชวลได้อย่างเหลือเชื่อ ความจริงที่ว่า ‘ถั่ว’นี่ เป็นสัญลักษณ์แห่งความเบสิคจิ๊บจ๊อยมากในความรู้สึกของคนเกาหลี ก็เลยแปลว่า นี่คือของเด็ดกว่า apple ที่ว่าเบสิคมากของสตีฟจ็อบส์ใช่ไหมหละ ถั่วเม็ดจิ๋วกว่าแอปเปิลเยอะด้วย 555
ชวนลุ้นตามไปดูว่าพวกเขาจะได้ลงเอยอย่างไร รวมๆก็สนุกน่ารัก มีความฮาแทรก มีความฟินให้ชุ่มชื่นใจดีค่ะ
Trailer :
เรื่องที่ 8 : Empty Body
ผลงาน ผู้กำกับคิมอึยซอก (After My Death – 2018)
Genre : ดราม่า
เรื่องย่อ : คิมยองอินประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ กาฮเยราผู้เป็นแม่ของเขาตัดสินใจช่วยลูกกลับมามีชีวิตด้วยการเข้าร่วมโครงการวิจัยนวัตกรรม ทำการเชื่อมต่อเอไอเข้ากับระบบสมองของคิมยองอิน แต่แล้ววันหนึ่ง กาฮเยราก็เริ่มสงสัยว่าเอไอได้ฆ่าลูกชายเธอไปแล้วและสวมรอยเป็นคิมยองอินหลอกลวงเธอ
ร่างอันว่างเปล่า
เรื่องนี้ได้อีกรสชาติเข้มข้นเลย มีความดาร์คหม่นทั้งเนื้อหาและภาพแสงสีคุมโทนโลว์คีย์จัดๆ และอาจจะดูเข้าใจยากหน่อย แต่ก็เปิดเรื่องมาอย่างน่าสนใจ เมื่อเห็นคิมยองอินตกเป็นจำเลยในศาล ด้วยข้อหาฆ่าตัวตน ‘คิมยองอิน’ จริงในร่างนี้ เป็นได้อย่างไร ก็เพราะจำเลยเป็นเอไอที่ถูกสร้างขึ้นแทนร่างที่เสียหาย และเชื่อมต่อกับระบบสมองเดิมของคิมยองอิน แต่อยู่ๆไปเอไอกลับจงใจละเลยการทำงานให้ผิดพลาด ปิดวงจรเชื่อมต่อสมอง ทำให้คิมยองอินตัวจริงที่เหลือเพียงสมอง ได้ตายใหม่อีกครั้ง โห..บทแปลกน่าติดตามเลย ทั้งประเด็น การฟื้นชีพคนตายได้ หรือ เอไอฆ่าคนที่อยู่ร่วมร่าง หรือ การไต่สวนนี้จะได้รับรู้ความจริงเบื้องหลังอะไรอีก แต่วิธีเดินเรื่องอาจดูเนิบๆ เพื่อต้องการบีบให้อารมณ์ค่อยๆไหลไปตามตัวละคร และต้องอาศัยการตีความจากบทสนทนาค่อนข้างเยอะ ไม่ได้สื่อกันแบบตรงไปตรงมาเหมือนสไตล์ซีรีส์ทั่วๆไป ทำให้บางคนอาจดูแล้วไม่ค่อยเข้าใจ
*เปิดเผยเนื้อหาสำคัญ*
ในครึ่งเรื่องแรก เนื้อหาจากการสืบพยาน ไต่สวนคดี ทำให้เราได้รู้สาเหตุของจำเลยที่ตัดสินใจลงมือฆ่าคิมยองอิน ก็เพราะคิมยองอินเองมีความต้องการเช่นนั้น ก็เพราะคิมยองอินไม่มีใจอยากมีชีวิตอยู่ ไม่ได้เห็นคุณค่าในตัวเอง อยู่อย่างคนตายทั้งเป็นมาตลอด
นั่นหมายความว่า ก่อนหน้านี้คิมยองอินก็ฆ่าตัวเองตาย แต่อำพรางด้วยอุบัติเหตุรถชน และก็เพราะเอไอถูกบังคับให้ต้องทำตัวเป็นมนุษย์ มันจึงต้องคิดแบบมนุษย์ พอถูกความหดหู่ของคิมยองอินฉุดรั้งจนเสียศูนย์ เอไอที่เลียนแบบให้เป็นมนุษย์ก็บังเกิดความโกรธเกลียดได้ บวกถูกร้องขอจากคิมยองอิน ก็เลยจัดการให้ซะเลย
โอย ทั้งจิกกัดความเป็นคน ทั้งหน่วงจิตในการตายแล้วตายซ้ำอีกที แถมยังเป็นอารมณ์ของการต้องการหนีชีวิตเอง ตรงกันข้ามกับแม่ที่พยายามกู้ชีวิตลูกกลับมา ด้วยความทุกข์ตรมยกกำลังสองของแม่ที่ต้องสูญเสียลูกซ้ำสองรอบ และเพราะลูกอยากตาย แต่ที่บีบหน่วงไปกว่านั้นอีก ก็คือการกู้ชีวิตลูกกลับมา ทำเพื่อลูกหรือเพื่อตัวเองกันแน่ เพื่อชดเชยความรู้สึกผิดของตัวเองหรือไม่ ที่ไม่สามารถดูแลปกป้องลูกให้ดี จนลูกต้องคิดฆ่าตัวตาย (แต่เนื้อหาละไว้ไม่ได้ระบุที่มาของสื่งที่ทำให้คิมยองอินอยากฆ่าตัวตาย แต่ก็ยังถือว่าได้พาดพิงปัญหานี้ในสังคมเกาหลีอีกครั้ง)
สิบนาทีสุดท้าย มาสรุปความดาร์คไปอีก แม่โดนเอไอตอกกลับ แต่ละประโยคช่างเจ็บปวดเสียดแทงหัวใจ แต่บทสุดท้ายในการหาทางออกแก้ปัญหาความทุกข์ความผิด และจัดการสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกของแม่ ก็คือการจัดการคิมยองอินที่เหมือนร่างเปล่านี้ ให้เป็นคนใหม่ไปซะเลยด้วยศัลยกรรม (งานศัลย์โดนจิกกัดอีกแล้ว เป็นเครื่องมือของโลกฉาบฉวยใบนี้) ช่างคิดได้!
สุดท้ายแล้ว การคิดสร้างคิมยองอินคนใหม่อีกครั้งนี้ ก็ก้ำกึ่งระหว่างการพยายามจัดการความรู้สึกผิดเก่าที่มีต่อลูก กับความพยายามเดินหน้าใช้ชีวิตสู้ปัญหาต่อไป ไหนๆตัวตนจิตใจก็ไม่ใช่แล้ว ก็ทำให้ร่างมีหน้าตาเปลี่ยนไปด้วย แล้วเริ่มต้นกันใหม่ซะเลย ก็เป็นการจบเรื่องที่ลงตัวสำหรับปัญหาของพวกเขา แต่ก็แอบคิดต่อว่า ถ้าแม่ยังเหมือนเดิม จะวนลูปกลับมาที่คิมยองอินคนใหม่ฆ่าตัวตายอีกหรือไม่ เพราะวันหนึ่งจิตวิญญาณเอไอที่เลียนแบบมนุษย์ไปนานๆเข้าก็อาจแบกรับอารมณ์ความรู้สึกแบบมนุษย์ไปก็ได้นะ
เรื่องนี้ได้ มุนโซรี มาแสดงนำ เรียกว่าฝีมือระดับตัวแม่ ทุกอารมณ์ของเธอถ่ายทอดได้ละเอียดลึกซึ้งมาก ส่วนจางยูซัง ที่มาจากนักแสดงบทสนับสนุนรองๆ ก็ฉายแววดีทีเดียว มีนักแสดงจาก Maxin อีดงฮวีและซอฮยอนอู มาร่วมแสดงด้วย
Trailer :
ติดตามบทรีวิวและงานเขียนบันเทิงเกาหลีอื่นๆของ warumanu ได้ที่เพจ มูฟวีข้ามวันซีรีส์ข้ามคืน
บทความที่เกี่ยวข้อง
รีวิวภาพยนตร์ Trade Your Love (2019) | วิวาห์วุ่น ชุลมุนรักกำมะลอ
รีวิวภาพยนตร์ Intruder (2020) | อย่าให้ ‘ยูจิน’ เข้าบ้าน เพราะเธอคือคนแปลกหน้า
รีวิวภาพยนตร์ #ALIVE (2020) | เมื่อต้องเอาชีวิตรอดในดงซอมบี้
รีวิวภาพยนตร์ Peninsula (2020) | ฝ่านรกล่ามิชชัน เดนตายซอมบี้ อเวจีคนโฉด
ติดตามข่าวสารและสิ่งที่น่าสนใจจากเราได้ที่
Facebook Fanpage : facebook.com/korseries
Twitter : twitter.com/korseries
Website : korseries.com
Youtube : Korseries
ขอความกรุณาไม่คัดลอก-ดัดแปลงบทความไปโพสต์ลงในเพจ-สำนักข่าวอื่น รวมถึงไม่นำบทความไปอ่านลง YouTube หรือแพลตฟอร์มใด ๆ โปรดช่วยแชร์เป็นลิ้งก์นะคะ ♡