Twogether (คู่เที่ยว เพื่อนทัวร์) รายการวาไรตี้ใหม่แกะกล่อง ได้เผยแพร่ให้แฟน ๆ ได้ชมแล้วทั่วโลกบน Netflix ซึ่งได้รับความสนใจในการพา 2 นักแสดงหนุ่มที่มีความแตกต่างกัน ทั้งเชื้อชาติ ภาษา และ วัฒนธรรม อย่าง นักแสดงหนุ่มชาวเกาหลีใต้ อีซึงกิ และ นักแสดงหนุ่มชาวไต้หวัน แจสเปอร์ หลิว ออกเดินทางพบประสบการณ์ใหม่ร่วมกัน และเรียนรู้กันและกันผ่านความแตกต่าง วันนี้ Korseries ขอนำพาทุกคนมาส่องเบื้องหลังกว่าจะมาเป็นรายการนี้ ผ่านบทสัมภาษณ์พิเศษกับ 2 หนุ่มไปด้วยกัน
เหตุผลที่ตัดสินใจร่วมโปรเจกต์รายการนี้
อีซึงกิ : ผมเคยร่วมงานกับโปรดิวเซอร์มาก่อนครับ ก็เลยพอจะคุ้นเคยและรู้แนวทางการทำงานกันอยู่ แต่ผมจะห่วงเรื่องอุปสรรคทางภาษานิดหน่อย เพราะเราทั้งคู่มีแบคกราวด์ที่ต่างกัน พูดกันคนละภาษา เราจะสื่อสารกันได้ตลอดรอดฝั่งไหม แต่พอได้มาพบแจสเปอร์ เขาทำให้ผมไม่ลังเลที่จะตัดสินใจร่วมงานนี้เลยครับ
แจสเปอร์ หลิว : ตอนที่ได้รับการติดต่อมา บอกเลยว่าเซอร์ไพรส์มากครับ ขอบคุณสำหรับโอกาสในครั้งนี้ ทีแรกผมเองก็กังวลเรื่องภาษาเหมือนกัน เพราะผมพูดเกาหลีไม่ได้ ได้แต่ภาษาอังกฤษ แต่ตัวผมเองติดตามผลงานของอีซึงกิอยู่แล้ว เขาเป็นคนเก่งมาก เลยอยากร่วมงานด้วย หลังจากที่ได้พบกับอีซึงกิครั้งแรก ทุกอย่างเป็นไปอย่างธรรมชาติและสนุกมาก ผมก็เลยตัดสินใจร่วมโปรเจกต์นี้ครับ
ในรายการนี้ คุณได้มีโอกาสท่องเที่ยวไปในเมืองต่างๆ 6 เมือง ทั่วเอเชีย เป็นเวลาเกือบเดือน การพบปะกับแฟนๆของคุณเป็นอย่างไรบ้าง? คุณได้เรียนรู้อะไรเกี่ยวกับแฟนคลับของคุณตลอดการเดินทางครั้งนี้?
อีซึงกิ: ปกติการเจอแฟนคลับของผมมักจะเป็นทางออนไลน์มากกว่าครับ แต่การเดินทางครั้งนี้ ผมได้รู้สึก และได้รับรู้ถึงความรักที่มากมายจากแฟนคลับ ได้เรียนรู้พวกเขามากขึ้น ได้เห็นความเป็นอยู่ วัฒนธรรม ได้ใกล้ชิดกับแฟนคลับ ได้ไปหาพวกเขาถึงที่บ้าน เป็นประสบการณ์และความทรงจำที่ดีมาก ๆ ครับ
แจสเปอร์ หลิว : ผมได้เรียนรู้ว่าทวีปเอเชียช่างกว้างใหญ่ และโลกนี้ก็กว้างใหญ่เหลือเกินครับ ผมไม่คิดว่าจะมีแฟนคลับของเราอยู่มากมายขนาดนี้ ผมได้พูดคุย ได้เรียนรู้วัฒนธรรม ได้สัมผัสประสบการณ์ที่มีค่าและแปลกใหม่ ขอบคุณแฟน ๆ ที่ทำให้ผมได้เข้าใจแฟน ๆ มากขึ้นครับ
เจอกันครั้งแรกรู้สึกยังไงต่อกันบ้าง และพอได้ร่วมทริปด้วยกันแล้วเข้ากันได้ดีแค่ไหน และเคมีระหว่างคุณสองคนเป็นอย่างไรบ้าง
อีซึงกิ : เราสองคนมีความคล้ายกัน ทั้งความกระตือรือร้น และเต็มไปด้วยพลังบวก สำหรับ แจสเปอร์ พอได้ร่วมทริปด้วยกัน ผมรู้สึกว่าตัวจริงเค้าเป็นผู้ชายที่อ่อนหวาน ยิ่งกว่าในจอเสียอีกครับ
แจสเปอร์ หลิว : ผมคิดว่า อีซึงกิ มีประสบการณ์ด้านวาไรตี้มามาก ผมรู้จักเขาผ่านผลงานมาก่อน เป็นนักร้องที่เก่ง นักแสดงที่เก่ง เขาเป็นคนเก่งและฉลาดมากครับ พอทำภารกิจไปด้วยกันสักพัก เขามักจะมีอะไรมาให้ผมเซอร์ไพรส์อยู่ตลอด เขาเรียนรู้เร็วมาก ผมพยายามจะทำให้ได้อย่างเขา ยิ่งพอตอนที่ต้องมาแข่งกันเอง เขาเก่งมากจริง ๆ ผมรู้สึกว่าผมมีอะไรที่ต้องเรียนรู้อีกเยอะ ต้องหัดหลอกล่อให้เป็นด้วยครับ
คุณอีซึงกิค่อนข้างที่จะเชี่ยวชาญในรายการวาไรตี้และรายการท่องเที่ยวที่ไม่มีสคริปต์ แต่ที่ผ่านมาส่วนใหญ่เป็นการเที่ยวแบบกลุ่ม แต่ครั้งนี้คุณมีเพื่อนร่วมทางเพียงแค่คนเดียว คือ แจสเปอร์ ดังนั้นประสบการณ์ที่คุณได้รับจากรายการนี้มีความน่าสนในและแตกต่างจากที่ผ่านมาอย่างไร
อีซึงกิ : สำหรับรายการวาไรตี้ที่มีการทำภารกิจเป็นกลุ่ม มันง่ายกว่ามากครับ เพราะมันมีอะไรเกิดขึ้นตลอดเวลา และมีหลาย ๆ คนคอยช่วยกันสร้างสีสัน เอนเตอร์เทนคนดู แต่สำหรับรายการนี้ ที่มีแค่ 2 คน ตอนแรกก็กลัวว่าจะทำให้รายการสนุกได้ไหม แต่ความเข้ากันได้เป็นเรื่องสำคัญ ผมเชื่อว่าเคมีของเราจะสร้างความแตกต่างให้กับรายการ มันน่าจะเป็นเสน่ห์ใหม่ ๆ ที่คนดูน่าจะสนุกไปกับเรา และการที่เราสองคนต่างภาษา ต่างวัฒนธรรม และมีแบคกราวด์ต่างกัน มาอยู่ด้วยกัน ก็จะมีอะไรสนุก ๆ เกิดขึ้นแน่นอน ที่แน่ ๆ เกิดเป็นมิตรภาพที่ดีด้วยครับ
อะไรคือบทเรียนที่ดีที่สุดที่คุณได้เรียนรู้จาก อีซึงกิ ผู้เชี่ยวชาญเรื่องรายการวาไรตี้ในเกาหลีใต้
แจสเปอร์ หลิว : ผมเรียนรู้ว่า เราต้องพยายามทำสิ่งต่างๆ ตามที่ตั้งใจไว้ให้ได้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม รวมถึงพลังความคิดบวก การทำงานแบบไม่มีสคริปต์ และ มิตรภาพที่จะคงอยู่ตลอดไปครับ
ช่วงไหนของการเดินทาง ที่คุณเริ่มรู้สึกผ่อนคลาย ทำตัวสบาย ๆ เวลาอยู่ด้วยกันได้ และคุณคิดว่าเพื่อนร่วมทางของคุณเป็นนักท่องเที่ยวประเภทไหน
อีซึงกิ : ในเกาหลี โดยเฉพาะการถ่ายรายการที่ไม่มีสคริปต์ ปกติแล้วเวลาที่สมาชิกในรายการจะเริ่มรู้สึกสบาย ๆ ต่อกัน คือตอนที่เราใส่ชุดนอนต่อหน้ากันได้อย่างไม่เคอะเขิน ตอนที่ถ่ายทำรายการนี้ก็เหมือนกันครับ วันที่ผมเห็นแจสเปอร์หลิวหยิบชุดนอนสไตล์คุณชายของเขามาใส่ ผมแอบคิดว่า เรามาจากคนละแบคกราวด์จริงๆ (หัวเราะ) กับตอนที่แจสเปอร์ให้ชุดนอนผมซึ่งเหมือนกันกับของเขาเลย แค่คนละสี ผมว่าตอนนั้นล่ะครับที่เคมีของเราเข้าที่แล้ว เราเป็นเพื่อนกันจริงๆ แล้ว
แจสเปอร์ หลิว : สำหรับผมคิดว่าตอนที่ซึงกิใส่ชุดนอนสีแชมเปญโกลด์ ตัวที่ผมซื้อให้ครับ ส่วนของผมเป็นสีน้ำเงินครับ ผมว่าเขาใส่แล้วเป็นเจ้าชายได้เลย ตอนนั้นล่ะครับที่ผมคิดว่าเราสนิทกันแล้วจริง ๆ
สถานที่ไหนที่คุณประทับใจและน่าจดจำที่สุดในการเดินทาง และภารกิจไหนที่คุณประทับใจที่สุด และเพราะอะไร
อีซึงกิ: ถ้าจะให้เลือกแค่ที่เดียว เลือกยากมาก ๆ เลยครับ เพราะทุกที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับผม แต่ถ้าต้องให้เลือกจริงๆ ขอเลือกที่ ‘บาหลี อินโดนีเซีย’ ครับ เป็นที่ ๆ ผมไม่เคยไปมาก่อน ที่นั่นสวยมาก และผมได้รับรู้ถึงความรักจากผู้คนมากมาย แล้วที่นั่น ผมได้ทำภารกิจที่ประทับใจมาก ๆ คือ ผมต้องเล่นร่มร่อน (paragliding) แล้วยังต้องมองหาแจสเปอร์ที่อยู่บนชายหาดให้เจอ เป็นภารกิจที่สุดยอด และยากมาก ๆ คงไม่มีโอกาสได้ไปซ้ำอีกแล้ว เรียกว่าเหมือน mission impossible เลยครับ
แจสเปอร์ หลิว : ทุกที่ที่ผมไป ทุกคนที่ผมเจอ ทำให้ผมประทับใจ จดจำไม่มีวันลืม แต่ผมขอเลือกสถานที่แรกที่ได้ไปครับ นั่นคือ ‘ยอกยาการ์ตา’ เพราะเป็นที่แรกที่ได้เรียนรู้การทำงานแบบไม่มีสคริปต์ แรกๆ ผมก็พยายามถามทีมงานว่าต่อไปจะมีอะไร จะต้องทำอะไร เมื่อไหร่จะได้พบแฟนคลับ พวกเขาก็ไม่ยอมบอกครับ โปรดิวเซอร์บอกแค่ว่าต้องทำภารกิจให้สำเร็จ ถึงจะได้พบแฟนคลับ หลังๆ ผมเลยเปลี่ยนกลยุทธ์ใหม่ อาศัยการเรียนรู้และคอยสังเกตจับตาดูทีมงานบ่อยๆ ครับ (หัวเราะ)
คุณเตรียมตัวสำหรับการแก้ปัญหาเรื่องกำแพงภาษาของคุณทั้งคู่อย่างไรบ้าง? มีทักษะที่คุณเชี่ยวชาญเป็นพิเศษอะไรบ้างที่เป็นประโยชน์หรือช่วยคุณได้ในระหว่างการถ่ายทำรายการและการเดินทางครั้งนี้
แจสเปอร์ หลิว : ผมชอบวาดรูปครับ ทีแรกก็ตั้งใจว่าถ้าสื่อสารไม่เข้าใจก็จะวาดรูปคุยกับอีซึงกิเอา แต่พอถึงเวลาจริง ผมไม่มีเวลาวาดเลยครับ ก็ใช้ภาษาอังกฤษไปแทน หรือใช้ Body language บางทีผมก็ไม่ค่อยเข้าใจว่าต้องทำอะไร ก็ทำตามอีซึงกิไปอย่างเดียวเลยครับ
อีซึงกิ : ผมพยายามเรียนภาษาจีนไว้ เตรียมมาคุยกับแจสเปอร์ พยายามรื้อฟื้นจากที่เคยเรียนตอนไฮสคูล แต่ยากมากเลยครับ ด้วยเวลาจำกัด เลยได้แต่จำประโยคง่ายๆ ที่คิดว่าจำเป็นต้องใช้มา ส่วนทักษะที่เป็นประโยชน์ ผมคิดว่า ความแข็งแกร่งทรหดของผมช่วยในการทำภารกิจได้มากทีเดียว ทางแจสเปอร์เอง ก็มีพลังและความพยายามสูงมากๆ พอมารวมกันแล้วมันช่วยให้เราทั้งสองคนผ่านภารกิจต่างๆ มาได้เป็นอย่างดีครับ
คุณคิดว่ารายการนี้มีอะไรที่น่าสนใจที่จะดึงดูดให้ผู้ชมสนใจชม และคุณคิดว่ารายการนี้แตกต่างจากวาไรตี้ท่องเที่ยวทั่วไปอย่างไร
อีซึงกิ: ผมมองว่ามันมี 2 ส่วนหลัก คือ อย่างแรก การที่ผู้ชาย 2 คน ต่างเชื้อชาติและภาษา จะสามารถสร้างมิตรภาพและร่วมเดินทางกันไปได้ตลอดรอดฝั่งหรือไม่ และอย่างที่สอง ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันที่เราไม่สามารถเดินทางท่องเที่ยวได้ รายการนี้น่าจะช่วยปลอบประโลมจิตใจ ช่วยให้ทุกคนผ่อนคลายและสนุกไปกับการเดินทางของเรา
แจสเปอร์ หลิว: นี่น่าจะเป็นครั้งแรก ที่ผู้ชมจะได้เห็นการเดินทางและการทำภารกิจของผู้ชาย 2 คน จากแบคกราวด์ที่ต่างกัน ได้เรียนรู้ความแตกต่างของกันและกัน และสร้างมิตรภาพ ซึ่งรายการนี้ไม่มีสคริปต์ กว่าพวกเราจะได้พบกับแฟนๆ ต้องฝ่าด่านภารกิจมากมาย มันเลยทำให้เราได้รับประสบการณ์และความทรงจำมีคุณค่ามาก ๆ เลยครับ
รายการ Twogether เป็นรายการวาไรตี้รูปแบบใหม่ที่ผสมผสาน ไม่ว่าจะเป็น การท่องเที่ยว เกมโชว์ และ การเซอร์วิสแฟนคลับเข้าด้วยกัน โดยคอนเซปต์หลักของรายการ คือ วาไรตี้โชว์ที่นำผู้ชาย 2 คน ต่างชาติ ต่างภาษา ต่างวัฒนธรรม มาเจอกัน และร่วมกันทำภารกิจ เท่านั้นยังไม่พอ ยังต่อยอดความสนใจที่มากขึ้นด้วยการเพิ่มเติมแฟนคลับเข้ามา เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมด้วยกัน นำมาสู่การ ‘ทำภารกิจเพื่อไปพบแฟนคลับ’ โดยให้แฟนคลับมีส่วนร่วมในการแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวในบ้านเกิดของพวกเขาให้ 2 หนุ่มเดินทางไปตามรอย พร้อมกับทำภารกิจ และหากทำภารกิจสำเร็จ ก็จะได้พบกับแฟนคลับในที่สุด โดยจุดหมายของทั้งคู่ ได้แก่ ยอกยาการ์ตา บาหลี ประเทศอินโดนีเซีย, โพคารา กาฎมัณฑุ ประเทศเนปาล และ กรุงเทพ เชียงใหม่ ในประเทศไทย
ด้านโปรดิวเซอร์โชฮโยจิน ได้เผยความรู้สึกว่า เขาเคยร่วมงานกับ อีซึงกิ มาแล้วในหลายรายการซึ่งเขาคิดว่าเสน่ห์ของซึงกิจะเปล่งประกายที่สุดใน Twogether และไม่ห่วงเรื่องกำแพงภาษา เพราะเขามีความสามารถในการเข้ากับคนอื่น และความเป็นผู้นำที่ทำให้รายการดำเนินไปได้ด้วยดี ส่วนทางด้าน แจสเปอร์ เป็นชายหนุ่มที่มีองค์ประกอบของหนุ่มในฝัน (boyfriend materials) อยู่เต็มเปี่ยม แม้ว่าจะไม่มีประสบการณ์ด้านวาไรตี้โชว์ แต่ผู้ชมก็จะเห็นเขาในมุมต่างๆมากขึ้น ทั้งสนุกสนาน อ่อนหวาน และก็เด๋อด๋าบ้างในบางครั้ง และยืนยันว่าทั้ง 2 คน มีเสน่ห์มาก ๆ และพวกเขาจะทำให้คนดูอมยิ้มตามไปด้วยอย่างแน่นอน นอกจากนี้ โปรดิวเซอร์โกมินซอก ยังเสริมว่า ‘อีซึงกิ’ เปรียบเสมือนขุมทรัพย์ของวงการบันเทิงเกาหลี และ ‘แจสเปอร์ หลิว’ เปรียบเสมือนเพชรเม็ดงามของวงการบันเทิงไต้หวัน เลยทีเดียว
Twogether ได้เผยแพร่ให้ชมใน 190 ประเทศทั่วโลกผ่าน Netflix แล้ววันนี้ ความยาวทั้งสิ้น 8 ตอน สามารถสัมผัสความสนุกสนานและประสบการณ์ที่น่าประทับใจของ 2 หนุ่มกันได้ที่ Netflix
คลิปแนะนำ
รีวิวซีรีส์ใหม่ของคิมซูฮยอน – ซอเยจี It’s Okay to Not Be Okay เรื่องหัวใจ ไม่ไหวอย่าฝืน
ติดตามข่าวสารจากเราได้ที่
Facebook Fanpage : facebook.com/korseries
Twitter : twitter.com/korseries
Website : korseries.com
Youtube : Korseries