Sunset in My Hometown เป็นผลงานของผู้กำกับ อีจุนอิก ผู้สร้างสรรค์ผลงานดีๆมามากมาย เช่น The King and the Clown (2005), Sunny (2008), Hope (2013), Anarchist from Colony (2017)
เป็นหนังแนวดรามา น้ำดีในเรื่องการก้าวพ้นวัย สอดแทรกวิธีการถ่ายทอดผ่านลีลาเพลงแร็พ สื่อความเป็นคนเมืองแบบชนรุ่นใหม่ เคียงไปกับความพื้นเพของชนบทบ้านเกิดของตัวละครหลัก คือ คิมฮักซู ผู้มีปมชีวิตเกลียดชังบ้านเกิดและพ่อ การได้พักยกแข่งแรปเปอร์ที่ยังไม่ถึงฝั่งฝันสักที กลับไปบ้านเกิดอย่างไม่เต็มใจนัก เป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี แต่เกิดอะไรขึ้นที่สามารถเปลี่ยนความคิดและชีวิตของเขา ต้องไปตามดูกันค่ะ
คิมฮักซู (รับบทโดย พัคจองมิน) ผู้แข่งขันในรายการประกวดความสามารถแข่งขันเป็นแรแปเปอร์ ชื่อ โชว์มีเดอะมันนี่ (Show Me the Money) ในนามว่า ซิมบัก เขาลงมาแข่งติดต่อกัน 6 ซีซันแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถถึงจุดหมายคว้าชัยชนะได้สักที จนถูกค่อนแคะว่าน่าจะได้รางวัลผู้เข้าแข่งขันดีเด่นซะดีกว่า ขยันมาทุกซีซันจนมีคนจำได้ มีแฟนคลับ จุดติติงจากรรมการคือการออกอาการวิตกกังวล และติดสำเนียงท้องถิ่น ซึ่งเขาก็ยังปิดบังและยืนยันเป็นคนโซล และในซีซันที่ 6 ที่เขามุ่งมั่นมากแต่ก็ยังเฟล เพราะในรอบดวลตัวต่อตัวกับคำคีย์เวิร์ดว่า ‘แม่’ มันสะเทือนใจถึงขั้นทำให้เขาแร็พไม่ออกเลยเชียว
ปมเรื่องครอบครัวของเขา คือแม่เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ซึ่งเขามองว่าเป็นความผิดของพ่อ คิมดูชาง (รับบทโดย จางฮังซอน) ที่เป็นอดีตนักเลงดังแห่งท่าเรือจุลโพ เคยต้องคดีทำร้ายร่างกายจนติดคุก นิสัยติดพนัน ผลาญมรดกเรียบ และหนีไปมีเมียใหม่ จนแม่ตายเพราะไม่มีเงินรักษาตัว และไม่ยอมมางานศพแม่ด้วย ฮักซูจึงออกจากบ้านตั้งแต่ตอนไปเกณฑ์ทหารแล้วไม่กลับไปอีกเลย หนีมาอาศัยอยู่โซล รับจ้างสารพัดพาร์ทไทม์ เช่น ร้านสะดวกซื้อ หรือ valet ที่ลานจอดรถ และการตามล่าฝันเป็นแรปเปอร์
ความเฟลแข่งขันเพราะปมอดีตที่รบกวนจิตใจ ทำให้เขาตัดสินใจกลับบ้านที่บยอนซานเมื่อได้รับโทรศัพท์จากโรงพยาบาลว่าพ่อเขาล้มหมดสติ ให้กลับมาเยี่ยมด้วย แต่ที่เขากลับ ก็คงเพราะความตั้งใจจะไปสะสางเรื่องให้จบ จะได้เดินหน้าใช้ชีวิตของตัวเองต่อไปได้
จองซอนมี (รับบทโดย คิมโกอึน) เป็นคนที่โทรตามฮักซูมาโรงพยาบาล โดยไม่ได้บอกว่า เธอคือ ซอนมี ที่เป็นเพื่อนเรียนสมัยมัธยมของเขา เธอเฝ้าไข้พ่อของเธอที่ล้มกระดูกต้นขาหัก ต้องนอนติดเตียงระยะหนึ่ง ซึ่งพักอยู่ห้องเดียวกับพ่อของฮักซู เธอเป็นเด็กกตัญญู ดูแลพ่อทุกเรื่องไม่เว้นแม้แต่เรื่องขับถ่ายที่เขายังช่วยตัวเองไม่ได้ เธอจึงอยากเห็นฮักซูมาดูแลพ่อบ้าง มิใช่ปล่อยให้ลูกน้องเก่าของพ่อมาจัดการอยู่คนเดียว
ซอนมีเป็นข้าราชการที่ศาลากลาง มีงานอดิเรกคือเขียนหนังสือ เขียนนิยาย เพราะเธอได้แรงบันดาลใจ ชอบงานงานเขียนมาจากฮักซู เพื่อนชายที่เธอแอบชอบ แต่ไม่ได้การใยดีแม้แต่น้อยจากฮักซู เพราะฮักซูทุ่มใจไปหลงรัก มีคยอง (รับบทโดย ชินฮยอนบิน) เพื่อนสาวสวย (แต่หลายใจ) แทน ซึ่งฮักซูก็ถูกเท ไม่สมหวังเช่นกัน
นอกจากแรงบันดาลใจเรื่องงานเขียนแล้ว ซอนมียังได้ค้นพบความงามของพระอาทิตย์ตกดิน ณ บ้านเกิดที่นี่ จากภาพที่เธอบังเอิญเห็นฮักซูนั่งหน้าหลุมศพแม่ มองพระอาทิตย์ตก เป็นจังหวะชีวิตที่เธอมองเห็นความเศร้าซึ่งสามารถอยู่ร่วมกับความสวยงาม เช่นเดียวกับตัวเธอที่อกหักจากฮักซู แต่ก็ยังชื่นชมเขาอยู่ นับแต่นั้นมา ในความรู้สึกของเธอ คือ ไม่มีพระอาทิตย์ตกดินที่ไหนสวยงามเท่าที่นี่ สอดคล้องกับบทกลอนที่เธอชื่นชม
‘บ้านเกิดของผมเป็นท่าเรือร้าง เมืองแสนยากไร้ ไม่มีอะไรให้ดู นอกจากพระอาทิตย์ตก’
บทประพันธ์นี้ ปรากฏขึ้นเป็นผลงานรางวัลของ ครูชเววอนจุน (รับบทโดย คิมจุนฮัน) รุ่นพี่ในโรงเรียนที่เคยมาเป็นครูสอนวรรณกรรมอยู่ชั่วคราว แต่ตอนนั้นเขาแอบขโมยสมุดจดกลอนของฮักซูไป เพราะเห็นว่าฮักซูเป็นเด็กนักเรียนที่มีพรสรรค์แต่งกลอนชนะรางวัล ดังนั้น บทประพันธ์นี้ แท้จริงเป็นของ ฮักซู โดยที่ซอนมีไม่รู้มาก่อน
ความหลงในพระอาทิตย์ตกดิน จนซอนมีนำมาเป็นพลอตเล่าเรื่องราวความรักที่สมหวังของตัวเองเขียนเป็นนิยาย เรื่อง ‘แฟนพันธุ์แท้ตะวันตกดิน’ จนได้รับรางวัลภายหลังเช่นกัน
นอกจากปมคาใจเรื่องพ่อแล้ว ชีวิตในวัยมัธยมของฮักซูก็มีเรื่องคับข้องใจ ถูกรุ่นพี่ ยงแด (รับบทโดย โกจุน) นักเลงประจำโรงเรียน รังแกกดขี่อยู่ตลอดเวลา เข้าใจแล้วใช่ไหมคะว่าทำไม ฮักซูถึงเกลียดบ้านเกิดนักหนา มีแต่เรื่องเฮงซวยไปหมด
การกลับบ้านครั้งนี้ ฮักซูได้พบกับทุกคน ที่เคยก่อเรื่องยุ่งยากในชีวิต รบกวนศักดิ์ศรีความมั่นคงทางจิตใจ ให้กับเขาในอดีต ไม่ว่าจะเป็นพ่อ ซอนมี มีคยอง ยงแด หรือ วอนจุน ที่เปลี่ยนอาชีพกลายเป็นนักข่าวและเป็นหนึ่งในแฟนของมีคยอง ปมต่างๆจะถูกคลี่คลาย ให้เกิดความเข้าใจต่อกันใหม่ ให้ได้แสดงจุดยืนของตัวเอง และพบกับรักแท้ ช่างเป็นทริปจำยอมจำใจที่ให้คุณค่าเกินคาดจริงๆ เหมือนกับชื่อเรื่อง พระอาทิตย์ตกดินที่บ้านเกิด นั่นคือ ในความเศร้าๆที่ตะวันจะลับหาย แต่ดวงตะวันนั้นก็ยังทำหน้าที่เติมเต็มท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ว่างเปล่าให้มีความสวยงามเต็มตาได้
ผู้เขียนชอบคิมโกอึนและพัคจองมินเป็นทุนอยู่แล้ว จึงตั้งใจรอดูหนังเรื่องนี้ แม้หนังจะไม่ค่อยมีความหวือหวานัก แต่ก็มีมุมดีในตัวเนื้อหาอยู่บ้าง มีอมยิ้มบ้าง ซึ้งบ้าง ในมิตรภาพ ในความรักครอบครัวบ้าง และความรักในบ้านเกิด หลายบทสนทนามีความน่าสนใจ เช่น เมื่อพ่อบอกให้ฮักซูใช้ชีวิตที่ดีกว่าการเป็นลูกกุ๊ย ต้องเป็นคนที่ดีกว่าให้ได้ จึงจะเป็นการแก้แค้นประชดพ่อได้สะใจกว่า หรือที่ซอนมีบอกว่า ถ้าฮักซูยังพูดสำเนียงบ้านเกิดได้อยู่ แสดงว่ายังมีใจให้บ้านเกิดแหละ
ความมีเสน่ห์แปลกตาดีในการใช้เพลงแร็พสดถ่ายทอดความคิด ความรู้สึกในใจของตัวละครฮักซู ทำให้ดูได้เข้าใจมากขึ้น และยังเข้าถึงมู้ดตัวตนฮักซูไปด้วย
และที่ชื่นชอบมากๆของเรื่องนี้ ก็คงหนีไม่พ้นฝีมือการแสดงของคิมโกอึน เธอตีบทแตกกระจุยอีกครั้ง กับการเนียนเป็นสาวบ้านนอกที่อยู่ชนบทมาตลอดชีวิต มีความธรรมด๊าธรรมดา ใสซื่อ จริงใจ เด๋อๆเขินๆเป็นธรรมชาติ ฉากปล่อยจริตแบบบ้านๆของคิมโกอึน นี่คือมีเสน่ห์มาก ชวนหลงอีกแล้ว เธอเล่าว่า เรื่องนี้ต้องลงแรงเพิ่มน้ำหนักถึง 8 กก. จนหน้ากลมดิ๊กเลย และฝึกสำเนียงท้องถิ่นอย่างหนัก ซึ่งเธอก็ทำได้ดีจริงๆ ปรบมือเลยจ้า
ติดตามชมซับไทยได้ที่ VIU นะคะ <คลิก>
Trailer :