เมื่อศาลเตี้ยใช้กฏโหดของตัวเองลงดาบคนชั่ว เขาก็กลายเป็นฆาตกรต่อเนื่องที่กุญแจมือพร้อมเรียกหา
เป็นที่มาของภารกิจไล่ล่าเดือดโดยหนึ่งตำรวจเก๋าระห่ำกับหนึ่งตำรวจน้องใหม่เจ้าของท่าล็อกพิฆาต
I, The Executioner หรือชื่อไทยว่า คู่เดือดนรกต้องกราบ เป็นงานแอ็คชันอาชญากรรม ภาคสองของหนังดังปี 2015 เรื่อง Veteran โดยผู้กำกับรยูซึงวาน ตัวพ่อบล็อกบัสเตอร์เกาหลีสร้างสรรค์งานสนุกเต็มคุณภาพ ได้แก่ Smugglers 2023, Escape from Mogadishu (2021) The Battleship Island (2017) The Berlin File (2013) ณ ตอนที่เขียนรีวิวนี้ การฉายในเกาหลียังโกยผู้ชมได้ยอดหลักหลายๆล้าน ทำสถิติสวยๆไต่ว่องไวขึ้นเป็นอันดับสามของปี และยังคงเดินหน้าไปเรื่อยๆ โอกาสจะขึ้นไปติด Top 20 หรือ 30 ตลอดกาลของเกาหลีนั้นก็คงไม่เกินเอื้อมนัก นอกจากนี้ยังการันตีด้วยเสียงชื่นชมจากเมื่อตอนรับเชิญไปฉายในงานเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ และเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติโตรอนโตด้วย
ด้วยความเป็นงานภาคต่อชนิดที่แยกออกมาเริ่มภารกิจตำรวจจับผู้ร้ายในคดีใหม่ จึงไม่มีความจำเป็นต้องดู Veteran มาก่อน แต่ก็ยังอยากแนะนำว่าดูเหอะ เพราะว่าสนุกดี และจะได้ขำในภาคนี้ได้อย่างเข้าใจบทที่ล้อมา รวมถึงการได้เห็นคาแรคเตอร์ตัวละครชัดเจนขึ้นก่อนชมภาคต่อ
พล็อตหรือคอนเซ็ปต์ของเรื่อง (ที่ต้องอิงจากชื่อเรื่องภาษาอังกฤษนะ ชื่อไทยเขาคงตั้งเอามันส์เฉยๆ) ก็วางไว้ว่า สายสืบคนเก๋าเจ้าเดิม ซอโดชอล (รับบทโดย ฮวังจองมิน) พร้อมทีมชุดเดิมซึ่งเข้าขากัน (ทั้งงานและมุกฮา) คือหัวหน้าโอแจพยอง (รับบทโดย โอดัลซู) บงยุนจู (รับบทโดย จางยุนจู) วังดงฮยอน (รับบทโดย โอแดฮวาน) และยุนชียอง (รับบทโดย คิมชีฮู) ได้รับภารกิจคุ้มกัน จอนซอกอู (รับบทโดย จองมานชิก) หนึ่งในตัวร้ายที่มีมาตั้งแต่ภาคแรก มาภาคนี้ยังนิสัยแย่ แถมทำเรื่องหนักข้อ เป็นสาเหตุให้เหยื่อความเลวของเขาตาย แต่แค่ 3 ปีก็พ้นโทษเสียแล้ว ยังความอื้ออึงให้มวลชนที่ขัดเคืองไม่สาแก่ใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยุคนี้ที่เหล่ายูทูบเบอร์ผุดเป็นดอกเห็ด รุมกันมากระพืออารมณ์ระอุ ทีมตำรวจชุดนี้จึงต้องนำจอนซอกอูไปอยู่เซฟเฮาส์พลางๆ ในขณะที่เร่งตามจับ ‘แฮชิ‘ ที่สายสืบซอโดชอลมั่นใจว่าเขาคือ ‘ฆาตกรต่อเนื่อง‘ ที่เป็นภัยคุกคามคนชั่วเรียงตัวไปตามกระแสข่าว ซึ่งจอนซอกอูกำลังเป็นเป้าหมายรายต่อไปของแฮชิ
‘แฮชิ‘ คือบุคคลปริศนาที่เย้ยกฎหมายทำตัวเป็น ‘ศาลเตี้ย’ เที่ยวพิพากษาคนชั่วในสังคมที่กฏหมายลงโทษไม่สาสม เขาจะจัดให้แบบโหดสะใจชนิดที่เรียกว่า ตายตกตามกันด้วยวิธีเดียวกับที่เหยื่อถูกกระทำ แฮชิเริ่มดังมาจากคดีสังหารโหดศาตราจารย์มหาวิทยาลัยคนหนึ่งที่ภาพลักษณ์ดูดี แต่ก่อกรรมชั่วกับนักศึกษาสาวจนเธอกระโดดตึกตาย ชื่อแฮชินี้ก็ได้มาจาก ยูทูบเบอร์แฉข่าวคนดัง พัคซึงฮวาน (รับบทโดย ชินซึงฮวาน) เจ้าของช่อง ‘นักข่าวผู้ผดุงความยุติธรรม‘ ตั้งให้ โดยอิงมาจาก ‘แฮชิ‘ (해치) หรือตัวแฮแท หรือสิงโตยูนิคอร์น ซึ่งเป็นสัตว์ในตำนานที่สื่อนัยของความชอบธรรม แยกแยะความดีความชั่ว และลงโทษผู้กระทำผิด หลังจากพัคซึงฮวานให้ชื่อแฮชิออกสื่อและขยันปั่นข่าวร่วมไปกับวีรกรรมดาร์ดของแฮชิ จึงกลายเป็น Talk of the Town
ในขณะที่ทีมตำรวจทำการปกป้องจอนซอกอูจากฝูงชน ตำรวจท้องที่ พัคซอนอู (รับบทโดย จองแฮอิน) ก็เข้ามาช่วย ด้วยฝีมือต่อสู้สมฉายา ‘ตำรวจ UFC’ กับท่าล็อกคอพิฆาต ซอโดชอลจึงทาบทามมาเข้าทีมเป็นน้องใหม่ ช่วยกันตามล่าแฮชิ
กระบวนการตามสืบล่าแฮชิอย่างเอาเป็นเอาตาย ทำให้แฮชิต้องมีแผนการเอาตัวรอดอย่างฉลาดซับซ้อน ให้ผู้ชมสนุกไปกับฟิลแมวไล่จับหนู โดยที่ปฏิบัติการโหดของศาลเตี้ยก็ยังทำต่อไปอย่างท้าทาย และพาผู้ชมไปสุดทางกับความจริงที่อยู่เบื้องหลังตัวตน ‘แฮชิ’
เป็นสองชั่วโมงที่ดูกันอย่างสนุกมันส์ๆเลย เพราะฝีมือการแสดงเยี่ยมๆของทุกคน เต็มไปด้วยดาราคุ้นหน้าคุ้นตาในทุกบทไม่ว่าจะออกซีนเล็กซีนน้อยก็ตาม (ไม่ได้แพ้ภาคแรกเลย) เช่น จินคยองที่มาในบทเดิม (ยังชวนอมยิ้มยามนึกถึงภาคแรก) อันโบฮยอนมาในแอร์ไทม์รับเชิญ แต่จัดเต็มมาก ลุคคนติดยากับเตะต่อยสนั่นน่าทึ่ง หรือคิมวอนแฮที่ทำเรายิ้มได้ทันทีที่เห็นหน้าแม้เป็นเพียงซีนสั้นๆ (แต่เขาเป็นกุญแจไขปริศนาเลยนะ!) เป็นต้น
ตัวละครซอโดชอลมีเสน่ห์เป็นธรรมชาติ ทั้งเก่งทั้งฮา แนวทำไปบ่นไป แต่ไฟเต็มร้อย แถมได้ลีลาแอ็กชันของฮวังจองมินระดับตัวพ่อ ดีโลดหายห่วง ส่วนจองแฮอินก็ทำให้ผู้เขียนดีใจมาก หลังจากหนังเรื่อง The Age of Blood (2017) แล้วก็นึกว่าเขาคงเข็ดกับความหินของงานบู๊ระห่ำซะแล้ว จะว่าไป งานนี้ที่ทุ่มแรงไป คุ้มเหนื่อยแน่นอน เพราะดังเลย
งานโปรดัคชั่นระดับนี้ไม่มีธรรมดาๆแน่นอน เป็นต้นว่าฉากแอ็กชันที่ดีไซน์ให้ตอบโจทย์ทั้งความระห่ำซัดบู๊กันนัว ความตื่นตาในโลเคชัน และความอิ่มอารมณ์กับซีนสวยศิลป์ พีคๆกันหลายฉากเลย เช่น บันไดที่ N Seoul Tower หรือดาดฟ้าฝนกระหน่ำน้ำเจิ่ง ซึ่งฮวังจองมินบอกเลยว่าเล่นยากเชียว ยากกว่าบันไดที่มีตัวช่วย คือสร้างบันไดเทียมด้วยวัสดุนุ่มๆเช่นเดียวกับ playground ของเด็ก แต่ดาดฟ้านั้น ต้องทำการบล็อกกระสอบทรายกักน้ำ (ทีมงานก็หนักไปด้วย ตามเคลียร์น้ำที่เล็ดรอดลงไปชั้นล่าง) อีกทั้งยังบู๊ยากเพราะชุดกันน้ำที่สวมทำให้เคลื่อนไหวไม่คล่องตัว หรือฉากตรอกพี้ยา และอุโมงค์ท้ายเรื่อง ล้วนออกแบบมาบิวด์อารมณ์ได้ดีมากเลย
คุณภาพเยี่ยมๆของงานภาพก็ได้งานซาวน์เนี๊ยบๆมาประกอบร่าง ลงตัวดีงาม เพราะมีระดับจางกีฮามาเป็น Music Director ให้ เป็นเรื่องที่สองหลังจาก Smugglers
หัวใจสำคัญของเนื้อหาที่มาอย่างเข้ายุคสมัย แม้ว่าพล็อตศาลเตี้ยดาร์คฮีโร่ จะคุ้นชินกันจากซีรีส์ล่าๆหลายเรื่อง อิทธิพลสื่อออนไลน์ที่เป็นดาบสองคม จริงๆเท็จๆยากจะแยกแยะ กลายเป็นอาวุธทำร้ายสังคม ก็มีให้ชมมาเยอะ แต่ผู้กำกับก็เลือกที่จะหยิบมาถ่ายทอดในมุมที่ละเอียดอ่อนลึกซึ้งชวนขบคิดมากขึ้น วาง ‘ศาลเตี้ย‘ ไว้ก้ำกึ่งระหว่าง ‘คนร้าย‘ กับ ‘ตำรวจ’ ทั้งโดยเรื่องราวที่เห็นและเรื่องราวในปริศนาที่ล้อกันไว้อย่างลงตัว สื่อความก้ำกึ่งดีชั่ว ที่หลุดข้ามเส้นได้ง่ายนิดเดียว ของผู้ทำตัว ‘ลงดาบ’ เป็น Executioner ในสังคม ไม่ใช่เพียงแฮชิเอง แต่ยังมีอินฟลูเอนเซอร์สังคมที่เปลี่ยนคนดีเป็นเหยื่อ เปลี่ยนฆาตกรเป็นฮีโร่ หรือแม้แต่ตัวซอโดชอลเอง ที่ถูกท้าทายสำนึกก้ำกึ่งด้วยภารกิจที่ดึงเชือกกันอยู่ คือเป็นตำรวจพิทักษ์ประชาชน และเป็นพ่อที่ปกป้องลูก นำเขากลับไปสู่การคลี่คลายในสังคมพื้นฐานเล็กๆคือครอบครัวเขาเอง
ส่วนประเด็นสุดท้ายที่ว่าแฮชิคือใครในเรื่อง ผู้กำกับเขาไม่ได้ปิดบังผู้ชมเลย เผยกันตั้งแต่ฉากแรกๆ ก็มีเพียงทีมตำรวจนี่แหละที่ไม่รู้ ต้องวุ่นตามหาคำตอบให้เราได้ดูสนุกกันแหละ ยิ่งใครติดตามข่าวจากสื่อเกาหลี ก็มีการเฉลยจะๆในบทสัมภาษณ์สื่อแล้ว เอาว่าผู้เขียนจะไม่ย้ำให้เป็นการสปอยล์ละกันนะ
I, The Executioner เป็นหนังภาคสองที่สมการรอคอย ดีทั้งเลเยอร์เปลือกหุ้มและไส้ใน เหมือนได้ผ่านการเติบโตมา 9 ปี เปรียบเหมือนเป็นผู้ใหญ่ขึ้น ไม่ได้แค่ขำเรื่อยเปื่อยละนะ ถึงแม้ปริมาณมุกขำจะน้อยลง แต่ดูจบบันเทิงอย่างคุ้มค่าตั๋วแน่นอนค่ะ
Trailer :
ติดตามบทความรีวิวอื่นๆ ข่าวสารบันเทิงเกาหลี หรือพูดคุยกับ WARUMANU ได้ที่ เพจมูฟวีข้ามวันซีรีส์ข้ามคืน