ว่าด้วยความเชื่อและศาสตร์ของฮวงซุ้ยสุสานบรรพชน
เมื่อร่างมีสุสานที่ดีให้เก็บฝังพวกเขา วิญญาณก็จะมีที่อยู่อย่างสงบสุข
ถ้าสุสานของบรรพบุรุษดี จะส่งเสริมให้ตระกูลและลูกหลานดี
แต่ถ้าฮวงซุ้ยสุสานนั้นไม่ดีหละ…เราก็จะขุดขึ้นมาแก้ไขให้ถูกต้องนะสิ
Exhuma หรือชื่อไทยที่แปลตรงตัวว่า ‘ขุดมันขึ้นมาจากหลุม’ เป็นภาพยนตร์แนวเขย่าขวัญพล็อตปราบผีที่มากับปริศนาระทึกลี้ลับ ผลงานของผู้กำกับจางแจฮยอน การันตีคุณภาพงานหลอนแนวเสียววาบขนลุกซู่ด้วย Svaha : The Sixth Finger (2019) หรือ House of the Disappeared (2017) หรือ The Priest (2015) หนังได้รับเชิญไปฉายเปิดตัวที่งาน 74th Berlin International Film Festival หนังเรื่องนี้ได้รับกระแสบอกต่อในเกาหลีดีมาก จนผู้ชมเกาหลีแห่ไปชมกันล้นหลาม จนทำให้กลายเป็นหนัง horror เรื่องแรกที่จะทำสถิติยอดตั๋วทะลุ 10 ล้านใบ (ณ วันที่เขียนรีวิวนี้ ก็เข้าใกล้สิบล้านแล้ว) ความดังพาให้หนังขายลิขสิทธิ์ไปได้อีก 133 ประเทศทั่วโลก (รวมไทยด้วย) นอกเหนือจากความสนุกที่ผู้ชมส่วนใหญ่สัมผัสได้ หนังมีเนื้อหามัดร่วมที่แยบยลและโดนใจจังๆคนเกาหลีโดยเฉพาะ นั่นคือเหตุผลแท้จริงของความปังในเกาหลี
เรื่องราวว่าด้วยสี่ผู้เชี่ยวชาญในแขนงอาชีพที่เกี่ยวข้องกับไสยศาสตร์สิ่งลี้ลับ ได้ร่วมมือกันรับงานใหญ่ชิ้นหนึ่งเป็นการขุดศพบรรพบุรุษของครอบครัวมหาเศรษฐีขึ้นมาหวังแก้อาถรรพ์ตกทอดของตระกูล การขุดศพตามชื่อเรื่อง Exhuma ที่ปกติเป็นงานไม่ยากนัก แต่กลับเผชิญกับเรื่องเกินคาด พัวพันต่อเนื่องให้ต้องช่วยกันสืบสาวขุดหาต้นตอที่สุดแสนอันตรายโหดร้าย
แม่หมอฮวาริม (รับบทโดย คิมโกอึน) หมอผีร่างทรงฝีมือดี พร้อมลูกศิษย์คนสนิทนักบริกรรมคาถา บงกิล (รับบทโดย อีโดฮยอน) ไปรับงานจากเศรษฐีที่ย้ายไปอยู่อเมริกา พัคจียง (รับบทโดย คิมแจชอล) ซึ่งเดือดร้อนจากอาถรรพ์ประหลาดที่เกิดกับคนในตระกูลมาตลอด และกำลังคุกคามชีวิตทารกลูกชายของเขา มันเป็นเสียงกรีดร้องก้องหูอันทุกข์ทรมาน ฮวาริมซึ่งมองออกว่ามันคือ ‘เสียงเพรียกจากหลุม’ ของบรรพบุรุษ ซึ่งเธอต้องมีพาร์ตเนอร์เฉพาะกิจมาร่วมจัดการจ๊อบนี้
คู่หูฝีมือดีเรื่องงานหลุมศพที่ถูกฮวาริมชวนมา ก็คือ คิมซังด็อก (รับบทโดย ชเวมินชิก) ซินแสฮวงจุ้ยรุ่นอาจารย์ และ ยองกึน (รับบทโดย ยูแฮจิน) สัปเหร่อพิธีกรรมคริสต์ เพื่อทำการขุดศพปู่ของพัคจียงขึ้นมาทำพิธีฌาปนกิจส่งวิญญาณ จะได้ปัดเป่าอาถรรพ์ให้จบสิ้นไป
แต่การมีเงื่อนไขของผู้ว่าจ้างและการพบอุปสรรคที่อาศัยความสามารถเฉพาะตัวของทั้งสี่ร่วมกันจัดการ ตั้งแต่การถูกขอให้ไม่เปิดโลงมาอาบน้ำศพ ขอเผาเลยทั้งโลง การพบว่าฮวงซุ้ยหลุมฝังศพไม่ดีอย่างยิ่ง รกร้างห่างไกล ไร้ชื่อสลัก และยังสัมผัสได้ถึงพลังชั่วร้ายแปลกๆโดยรอบ จึงตัดสินใจทำพิธีบูชายัญสกัดวิญญาณร้ายไปด้วยพร้อมการขุดเอาโลงขึ้นมา แม้จะดูราบรื่นดีแต่ก็เกิดฝนตกหนักจนเผาไม่ได้ ต้องนำโลงไปฝากห้องดับจิตของโรงพยาบาลเล็กๆระหว่างทางไว้ก่อน
หลายเหตุการณ์ไม่คาดคิดที่เกิดขึ้น แรงงานผู้ขุดหลุมเกิดไปฆ่างูประหลาดในหลุมศพ เจ้าหน้าที่ห้องดับจิตแอบแง้มโลงศพ หวังเก็บเล็กเก็บน้อยจากสมบัติในโลงที่บ่งบอกความมีฐานะ นั่นทำให้วิญญาณร้ายหลุดออกมาคร่าชีวิตคนในตระกูล แต่สถานการณ์ก็ถูกทั้งสี่จัดการได้ โดยเป้าหมายสำคัญคือทารกน้อยปลอดภัย
แต่หลังจากนั้น เมื่อคิมซองด็อกจุดประเด็นความน่าสงสัยของหลุมศพพลังชั่วร้ายนี้ ที่มิได้สิ้นสุดอย่างที่พวกเขาคิด พวกเขาจึงต้องสืบสาวไขปริศนาลี้ลับซับซ้อน ด้วย ‘การขุดให้ลึกลงไปอีก’ (ทั้งแบบความหมายตรงตัวและความนัย ที่ลึกลงไปในอดีต ในจิตใจคน) ทำให้เผชิญสิ่งที่โหดร้ายอันตรายจนเกินรับมือได้ และนี่คือพาร์ตสำคัญของ Exhuma ที่แท้จริง
*บทรีวิวมีการพาดพิงเนื้อหาสำคัญบ้าง แต่ผู้เขียนพยายามให้เป็นภาพกว้างมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ จะไม่เกินเลยไปกว่าที่มีเผยแพร่จากข่าวหรือบทความอื่นๆที่มีผู้เผยแพร่ไว้ก่อนหน้านี้
อันดับแรกเลย หนังปูพื้นความสนุกในลีลาเอกลักษณ์ของผู้กำกับ เช่นเดียวกับผลงานเดิมๆของเขา คือมีความค่อยเป็นค่อยไปค่อยเล่า ไม่เร่งรัด เพื่อให้จังหวะการเสียววาบขนลุกมีพลังขลังมากขึ้น แนว slow burn โดยมิต้องพึ่งพาจังหวะหลอกผู้ชมด้วยซีนผีตุ้งแช่หรือฉากช็อคสะดุ้งใส่ พร้อมกันนั้นก็จะเป็นการปูพื้นตัวละคร แสดงความโปรของทีมทั้งสี่ เพื่อส่งเข้าสู่งานที่ยากซับซ้อนขึ้นชวนลุ้นหวาดเสียวมากขึ้นในเนื้อหาพาร์ตหลัง
เสน่ห์ที่หนังหยิบจับหลายศาสตร์หลายวัฒนธรรมมาผสมชงรวมกัน ตั้งแต่ฮวงจุ้ยแบบจีน หมอผีร่างทรงแบบเกาหลี สัปเหร่อส่งวิญญาณแบบคริสต์ พระกับวัดพุทธ ตำนานความเชื่อ คาถาเวทคุณไสย ไปจนถึงลูกไฟวิญญาณ เป็นองค์ประกอบที่รวมได้มิติแปลกใหม่อีกขั้นสำหรับหนังผีๆ และเสริมลุคทันสมัยด้วยบุคลิกคนรุ่นใหม่แบบฮวาริม บงกิล หรือแม้แต่พัคจาฮเย (รับบทโดย คิมจีอัน) รุ่นน้องฮวาริมที่ยังเป็นวัยรุ่นอยู่เลย และยังมีแม่หมอแบบท้องโตอย่างโอกวังชิม (รับบทโดย คิมซอนยอง) ให้ภาพแปลกตาที่ช่วยลดความไกลตัวไกลใจของศาสตร์หมอผีไปได้เยอะเลย ฮวาริมเองที่สามารถทำงานร่วมกับรุ่นอาวุโสอย่างซองด็อกได้อย่างดีมีเสน่ห์ อาจเป็นความสมดุลแบบหยินหยาง หรือธาตุทั้งห้าก็ได้นะ
Hint จากต้นเรื่องที่โปรยไว้ว่าปู่ในโลงคือ คนขายชาติที่ฝักใฝ่ญี่ปุ่นเพื่อประโยชน์ส่วนตน (ในสมัยที่ญี่ปุ่นรุกรานเข้าครอบครองเกาหลีระหว่างปี 1953-1958) คือที่มาของสิ่งลี้ลับที่อยู่ในหลุมศพที่ยังปกคลุมด้วยพลังชั่วร้าย แม้ว่าโลงของปู่จะถูกขุดออกไปก็ตาม
นี่คือการสะท้อนอดีตอันเจ็บปวดที่ยังฝังใจชาวเกาหลีส่วนใหญ่ ผู้ชมหลายคนอาจคิดว่า อีกละ! ตัวร้ายเป็นญี่ปุ่นอีกแล้ว ตัวร้ายครั้งนี้มาในรูปแบบที่เกินคำว่า ‘ผี’ ไปอีก เป็นวิญญาณปีศาจร้ายที่แสดงภาพโหดเหี้ยม กระหายการฆ่าอย่างไร้สติ มีร่างใหญ่โตเกินมนุษย์มนา เพื่อกดดันตัวเอกของเราให้จ้อยร่อย ไม่ต่างจากสมัยนั้นที่คนเกาหลีถูกอำนาจญี่ปุ่นกดขี่บีบคั้น ถูกยึดชาติ ทรัพยากร ยึดอิสรภาพ ยึดชื่อ ยึดความเป็นคนไปหมดสิ้น
แต่ดูดีๆจนจบ โดยภาพรวมจะพบว่า ไม่ได้มีการปลุกปั่นตอกย้ำความเกลียดชังญี่ปุ่นแต่อย่างใด หนังกลับสื่อนัยเชิงบวก ให้คนรุ่นใหม่เคลียร์อาถรรพ์ฝังใจ เอาความเจ็บปวดเคืองแค้นนี้ออกไปจากใจ เหมือนที่ลูกหลานของตระกูลมีความอับอายย้ายไปอยู่ต่างแดน ไปจนถึงทารกน้อยที่ถูกช่วยเอาเสียงกรีดร้อง (ความเจ็บปวดและเสียงสาปแช่งของคนร่วมชาติในอดีต) ออกไปหมดสิ้น จึงได้ชีวิตตั้งต้นใหม่ที่ดี บทพูดของฮวาริมที่พยายามจะบอกว่าที่นี่ไม่มีสงครามใดๆอีกแล้ว อย่าได้ยึดติด จงไปเสียเถิด บทพูดของซองด็อกที่มีปณิธานอยากคืนผืนดินที่สะอาด สมบูรณ์ เป็นฮวงจุ้ยที่ดีให้กับลูกหลานของประเทศนี้ ผู้เขียนคิดว่ามันเป็นงานที่สื่อความได้ฉลาดแยบยลดี และให้บทสรุปเชิงสร้างสรรค์มากกว่า ตีความเชิงอุปมาว่ามาขจัด ‘ผีในใจ’ กันเถอะ
จุดแข็งอื่นที่เสริมให้เรื่องนี้ดูทรงพลังและมีเสน่ห์มากขึ้น ก็คงไม่พ้นฝีไม้ลายมือของนักแสดงหลักทั้งสี่ ที่ต้องเอ่ยถึงก็คงเป็นสองคนที่โดดจากงานเดิมๆ ก็คือ คิมโกอึน เรียกว่าเอนเนอร์จี้สาดจนตีบทแตก ฟิลขลังนี่เอาอยู่เลย อีโดฮยอนเองก็ใช่ย่อย เล่นดีมีเสน่ห์น่ามอง (ชวนสงสัยเลยว่าถ้าเป็นผีสาวจะหวั่นไหวไม๊น้า)
งาน cinematography คือดี ภาพโอ ซาวน์ถึง ในจังหวะกำลังดี เรื่องนี้ผู้กำกับไม่เน้นซีจี แต่เน้นการถ่ายจริง ใช้เทคนิคการถ่ายภาพเข้ามาช่วยเป็นส่วนใหญ่ อย่างเช่น การสร้างสิ่งที่ถูกเรียกเป็นภูติสถิตย์ ด้วยนักแสดงคิมมินจุน คิมบยองโอ (นักบาสเก็ตบอล) อารมณ์ภาพที่ได้จึงดูหลอนดีไปอีกแบบ
โดยรวมแล้ว สำหรับเราคนไทยอาจไม่ได้รู้สึกปังมากเท่าคนเกาหลี แต่ก็ยอมรับว่าคุณภาพงานและความสนุกอยู่ในเกณฑ์ที่ดี และถ้าใครไม่เข้าใจความหมายของนัยที่เขาต้องการสื่อถึงอดีตเบื้องลึก ก็อาจไม่อินหรือขัดใจการเปลี่ยนถ่ายเนื้อหาจากพาร์ตแรกมาพาร์ตหลังก็ได้ นอกจากนี้ยังมีรายละเอียดกิมมิคที่คนเกาหลีเขาเก็ต แต่เราคนไทยอาจไม่รู้ เช่น ชื่อบงกิล เป็นชื่อของนักต่อสู้เพื่ออิสรภาพจริงๆในยุคนั้น เลขทะเบียนรถในเรื่อง 0301 หรือ 0815 นั้นล้อกับวันอิสรภาพ และวันชาติซึ่งประกาศอิสรภาพของเกาหลี มุมเล็กๆน้อยๆแต่เสริมความน่าชื่นชมได้เลยค่ะ
เอาหละ ติดไม้ติดมือเอาไปคิดต่อกันได้ ใครมีเรื่องค้างคาใจ อย่าเก็บไว้บั่นทอนจิตตัวเอง ขุดขึ้นมาเคลียร์ซะให้โล่งๆแล้วเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆกันเลยค่ะ
Trailer :
ติดตามบทความรีวิวอื่นๆ ข่าวสารบันเทิงเกาหลี หรือพูดคุยกับ WARUMANU ได้ที่ เพจมูฟวีข้ามวันซีรีส์ข้ามคืน