เมื่อช่วงเช้าของวันที่ 27 เมษายน นับเป็นช่วงเวลาที่ชาวเกาหลีรวมถึงต่างชาติให้ความสนใจกับการที่ คิมจองอึน ได้กลายเป็นผู้นำประเทศเกาหลีเหนือคนแรกที่เดินก้าวข้ามผ่านเส้นพรมแดนที่เคยแบ่งไว้เมื่อ 65 ปีที่แล้ว นับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามเกาหลี ในปี 1953
คิมจองอึน ได้จับมือกับ มุนแจอิน ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ณ เส้นแบ่งพรมแดน เขตปลอดทหาร DMZ ต่อหน้าสื่อมวลชนทั่วโลก การเดินทางมาเยือนเกาหลีใต้ในครั้งนี้ เพื่อที่จะเจรจาแลกเปลี่ยนกันระหว่างสองประเทศ ซึ่งจะครอบคลุมถึงประเด็นอาวุธนิวเคลียร์ และความเป็นไปได้ในปูทางสู่สันติภาพอันยั่งยืน
คิมจองอึน ได้เขียนข้อความสั้นๆบนสมุดเยี่ยม ณ อาคารสันติภาพ DMZ เกาหลีใต้ว่า “ประวัติศาสตร์หน้าใหม่ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว ณ จุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์ และ ยุคแห่งสันติภาพ”
การพบกันของทั้งสองผู้นำเป็นไปด้วยดี โดย คิมจองอึน ยังได้นำบะหมี่เย็นขึ้นชื่อของเกาหลีเหนือมาฝากคิมจองอึนในการประชุมครั้งนี้ด้วย โดยกล่าวว่า “ผมหวังว่าคุณจะชอบบะหมี่ที่เรานำมาให้”
สิ่งที่จะเกิดขึ้นในวันนี้?
รายละเอียดทุกอย่างได้ถูกกำหนดไว้อย่างแม่นยำ ไม่ว่าจะเป็นตารางการพบกัน ไปจนถึงเมนูอาหารของทั้งสองผู้นำ
หลังจากการพบกันในช่วงแรก ทั้งสองจะพักและรับประทานอาหารแยกกัน โดยคณะผู้แทนเกาหลีเหนือจะเดินทางกลับไปที่ฝั่งของตัวเอง ส่วนพิธีในช่วงบ่าย คิมจองอึน และ มุนแจอิน จะปลูกต้นสนร่วมกัน โดยใช้ดินและน้ำจากทั้งสองประเทศ เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งสันติภาพและความเจริญรุ่งเรือง
หลังการปลูกต้นไม้ได้เสร็จสิ้นลง พวกเขาจะเดินเล่นด้วยกันก่อนที่จะพูดคุยในช่วงถัดไป การประชุมจะจบลงโดยมีการลงนามข้อตกลงของผู้นำทั้งสองประเทศ และส่งมอบประกาศร่วมกันก่อนจะรับประทานอาหารค่ำ งานเลี้ยงอาหารค่ำจะจัดในฝั่งเกาหลีใต้ โดยเมนูต่างๆที่จะเสิร์ฟจะแฝงด้วยสัญลักษณ์เช่นเดียวกับพิธีกรรมอื่นๆ
เมนูที่จะเสิร์ฟให้คิมจองอึน คือ rösti ซึ่งเป็นอาหารของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเป็นประเทศที่คิมจองอึนเคยเดินทางไปศึกษาในวัยเด็ก เสิร์ฟพร้อมกับบะหมี่เย็น และ เหล้าจากเกาหลีเหนือ
หลังจากรับประทานอาหารมื้อค่ำเสร็จ พวกเขาจะรับชมวิดีโอ “Spring of One” ก่อนที่คิมจองอึนจะเดินทางกลับบ้าน
ใครที่จะมาร่วมงานด้วยบ้าง?
คิมจองอึน เดินทางมาพร้อมกับคณะ 9 คน โดยหนึ่งในนั้นมีน้องสาวของเขา คิมโยจอง ซึ่งเคยเดินทางมาร่วมงานโอลิมปิกฤดูหนาวเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา
ส่วนทางด้านฟากฝั่งของเกาหลีใต้ ได้ส่งคณะมา 7 คน โดยมีรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ และ กระทรวงการรวมชาติ มาร่วมงานด้วย
แม้ยังไม่มีข้อสรุปในความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศอย่างแน่ชัด แต่การพบกันของผู้นำทั้งสองในครั้งนี้นับว่าเป็นสัญญาณการเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ครั้งยิ่งใหญ่ของเกาหลีที่ทั่วโลกกำลังจับตามอง
source (1)