อีเจฮุน พัคจองมิน ซนซอกกู และ ชเวฮีซอ
สี่นักแสดง ที่ผันตัวมาเดบิวต์งานเบื้องหลัง ทั้งเขียนบทและกำกับหนังสั้น
สู่ผลงานภาพยนตร์ 4 เรื่อง 4 รส ในชุดที่ชื่อว่า Unframed ได้อย่างน่าสนใจ
เนื่องจากซับที่หาได้เป็นซับอังกฤษที่คุณภาพไม่สมบูรณ์นัก **บทรีวิวจึงขอพาดพิงเนื้อหาสำคัญ** เพื่อให้คนส่วนใหญ่ได้ติดตามชมได้อย่างสนุกไม่ติดขัดนัก เชื่อว่าแฟนคลับของแต่ละผู้กำกับก็คงอยากชมผลงานและให้กำลังใจ ซึ่งแต่ละเรื่องสะท้อนคาแรคเตอร์ของแต่ละคนได้ตรงมากเลย และมีดีทุกเรื่องค่ะ
*เนื้อหาต่อไปนี้ มีการกล่าวถึงเนื้อหาในเรื่อง*
Blue Happiness
- ผู้กำกับ : อีเจฮุน
- ความยาว : 35 นาที
- นักแสดง : จองแฮอิน , อีดงฮวี , คิมดาเย , ทังจุนซัง และ พโยเยจิน (รับเชิญ)
ภาพยนตร์แนวดราม่าชีวิต ความวิตกกังวล และความหวังของคนหนุ่มสาว ที่สมจริงสะท้อนสังคมปัจจุบัน กำกับโดยนักแสดงหนุ่มมากความสามารถ อีเจฮุน เล่าผ่านมุมมองของ พัคชานยอง (รับบทโดย จองแฮอิน) หนุ่มธรรมดา ๆ คนหนึ่งที่อยู่ระหว่างช่วงเวลาวาดหวังจะหางานประจำดีๆ และกำลังไล่ตามหาความสุขเล็ก ๆ ในอนาคตข้างหน้า ระหว่างนี้ เขาก็ทำพาร์ทไทม์ด้วยการขับรถรับส่ง ลูกชายวัยเรียน (รับบทโดย ทังจุนซัง) ของบ้านเศรษฐี ที่มีกิจกรรมเรียนเสริมกวดวิชาหลังโรงเรียนเลิก พลางใช้ช่วงเวลาว่างที่เหลือ ขยันอ่านหนังสือเตรียมสอบ TOEIC ไปด้วย เพื่อไว้ใช้สมัครงาน
พัคชานยอง ใช้ชีวิตอยู่กับแฟนสาว จีอึน (รับบทโดย คิมดาเย) ซึ่งทำงานเป็นพนักงานขาย รายได้ไม่แน่นอนเช่นกัน แต่กระนั้นเธอก็ยังเจียดเงินไปซื้อกล้องถ่ายรูปเป็นของขวัญให้กับแฟน วันหนึ่ง พัคชานยองเจอกับเพื่อนสมัยเรียน ซึงมิน (รับบทโดย อีดงฮวี) เข้าโดยบังเอิญ พัคชานยองมองว่าเพื่อนของเขาช่างดูดี มีเงิน ชีวิตชิล ๆ เพราะเล่นหุ้น พัคชานยองอดใจไม่ไหวจนต้องทำตามบ้าง แต่มันไม่ได้ง่ายและไม่ได้โชคดีได้ในทันที เขาจึงสูญเงินไปกับหุ้นที่ตกลง พร้อม ๆ กับชีวิตที่ดิ่งตก จนต้องเสียทั้งงาน เงิน กล้อง และคนรัก ความสุขเล็ก ๆ ที่เคยมี และอนาคตที่เคยวาดหวังไว้ จึงเป็นได้เพียง Blue Happiness
เนื้อหาเรียล ๆ เข้าใจได้ง่าย และยังเล่าอย่างตรงไปตรงมา จึงเหลือเวลาไปโฟกัสกับความหล่อของ จองแฮอิน ที่เดินเรื่องเกือบทุกฉากได้อย่างเต็มที่ แฟนคลับคงแฮปปี้ เพราะถึงเรื่องราวจะบลู แต่นักแสดงไม่บลูตามเรื่อง ไหน ๆ จองแฮอินก็มาแสดงเพื่อสนับสนุนงานของเพื่อนรักแบบไม่คิดค่าตัวแล้วด้วย เต็มที่ขนาดนี้ แฟน ๆ ก็สมควรตามสนับสนุนอีกทอดเลยค่ะ
********************************
Chief Election / Vote for Inno
- ผู้กำกับ : พัคจองมิน
- ความยาว : 24 นาที
เรื่องนี้จุดประกายมาจากประสบการณ์ในวัยเด็กของ พัคจองมิน ที่เห็นการเลือกหัวหน้าห้อง ที่เพื่อน ๆ มีความจริงจังกันอย่างน่าสนใจ เขาจึงเขียนบทขึ้นมาเป็นสถานการณ์ของการเลือกหัวหน้าห้องของนักเรียนชั้น ป.5 ช่วงเทอมสอง ที่ไม่ธรรมดา เพราะมันเป็นหนังสไตล์ฟิลม์นัวร์ ที่ได้ฟีลระทึกปนตื่นเต้น ภาพและซาวน์อย่างอาร์ต รวมถึงลีลาการตัดต่อก็มาแบบหนังทริลเลอร์แท้ ๆ แถมด้วยเนื้อหาที่ฉลาดเล่า สนุกหักมุม เกินคาด Contrast กับโทนเรื่องที่เป็นของเด็กและใช้นักแสดงเด็กล้วน ๆ ทั้งเรื่อง เรียกว่าทั้งเท่และสนุก ได้ใจผู้เขียนเป็นอันดับหนึ่งไปเลย จากที่เคยชื่นชอบ พัคจองมิน มาก่อน ก็ยิ่งชื่นชมไปอีก ในความมีของที่สร้างสรรค์นอกกรอบดีจริง ๆ
ผู้สมัครชิงตำแหน่งหัวหน้าห้องมี 3 คน คนแรก ยูจางวอน นักเรียนมาดผู้นำ ทะเยอทะยานอยากเป็นประธานสภานักเรียนในปีหน้า และเป็นเพื่อนสนิทกับ ควักจี หัวหน้าห้องเทอมหนึ่ง ผู้ดำเนินการเลือกตั้งครั้งนี้ จุดขายของยูจางวอนคือการยกระดับเกรดของห้อง คนที่สอง จูซอนยอง นักเรียนหญิงผู้มีสกิลการพูดที่ฉะฉาน สายอิงกระแสอินเทรนด์ เน้นสวยงามและสีสัน เรียกว่าถูกใจสาว ๆ ซะเป็นส่วนใหญ่ ถึงขั้นกล้าสัญญาว่าจะเอา Twices มาโชว์ด้วย 555 และ คนที่สาม อินโฮ เด็กชายตุ้ยนุ้ยตัวเล็กที่พูดน้อย ขาดความเชื่อมั่น ไม่มีอะไรโดดเด่นเป็นที่สนใจของเพื่อน ๆ เรียกได้ว่าเป็น Nobody เลย
ผู้ชมจะได้ชมกระบวนการเลือก ตั้งแต่การชี้แจงนโยบาย และการลงคะแนนโหวตโดยพร้อมเพรียง ด้วยขั้นตอนที่โปร่งใส โดยเขียนชื่อผู้ที่ต้องการเลือก ลงในกระดาษที่ประทับตราเตรียมไว้ ใส่ลงกล่อง นำไปนับคะแนนทันทีที่หน้าห้อง จนได้ผู้ชนะการเลือกตั้งออกมาเป็น ยูจางวอน
แต่เรื่องราวที่เล่าสลับไปมาตั้งแต่ต้นเรื่อง ได้เห็นอินโฮขมักเขม้นเตรียมการในที่ลับ ค่อย ๆ ทยอยเฉลยมาเรื่อย ๆ ว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น คือ ‘การเตรียมโกงการเลือกตั้งให้กับยูจางวอน’ เพราะเขาโดนแก๊งบูลลี่ข่มขู่เป็นประจำ คำสัญญาจากยูจางวอนที่จะทำให้อินโฮได้เป็นไท เลื่อนขั้นเป็นเพื่อนในแก๊งจึงน่าสนใจมาก สำหรับกรรมวิธีการโกง แม้จะเป็นอะไรที่ไม่ซับซ้อนมากนัก แต่พอเป็นการกระทำของเด็กป. 5 มันจึงดูน่าทึ่งอยู่ และก็ยังรู้สึกได้ถึงกลิ่นเสียดสีล้อเลียนอีกด้วย
ความน่าสนใจของบทที่เขียนให้มีมุมอยากรู้อยากเห็นว่า นโยบายของอินโฮคืออะไร อะไรที่เกิดการหักมุมให้เขาเป็นคนชนะเลือกตั้งตัวจริง และความฉลาดคิดที่ทำให้ทุกผลลัพธ์ล้วนส่งอินโฮเป็น ‘ตัวเอก’ และผู้ประสบความสำเร็จได้ไม่ว่าจะด้วยเส้นทางใดก็ตาม จนผู้เขียนเริ่มสงสัยละว่า อินโฮเก่งหรือเฮงดีหละ 555 จนทำให้นึกถึงชื่อ Vote for Inno ว่าอาจจะตั้งใจล้อเสียง ‘อินโน’เซนต์ กับ ‘อินโฮ’ หรือไม่นะ ว้าว!
********************************
Rebroadcast / Rerun
- ผู้กำกับ : ซนซอกกู
- ความยาว : 30 นาที
- นักแสดง : อิมซองแจ และ บยอนจุงฮี
ซนซอกกู บอกว่า เรื่องนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากวันหนึ่ง ที่เขาได้พบเห็นป้ากับหลานชายคู่หนึ่งที่งานแต่งงาน จึงนำมาแต่งขยายเล่าถึงเรื่องราวความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นของป้าและหลานชายที่เดินทางมางานแต่งของญาติ
ซูอิน (รับบทโดย อิมซองแจ) หนุ่มร่างท้วม มีสังคมญาติมิใช่น้อย แต่ดูเหมือนว่าเขาจะเข้ากันได้ดีกับ ป้า หรือ พี่สาวของแม่ (รับบทโดย บยอนจุงฮี) ซึ่งไม่ได้อยู่ด้วยกันมากที่สุด ซูอินเป็นผู้ชายตัวโต แต่ก็มีพฤติกรรมเหมือนยังเป็นเด็กยามอยู่กับป้า ส่วนหน้าตาเขาก็ธรรมดา ๆ แต่พยายามจะออดิชั่นเป็นนักแสดง ซึ่งความฝันนั้นก็ยังไปไม่ถึงไหนสักที
วันหนึ่ง เขาไปรับป้าซึ่งอยู่ตัวคนเดียวที่บ้าน เพื่อไปงานแต่งของญาติที่โรงแรม ตามที่แม่มอบหมายมา แต่เพราะไปหาป้าเช้ามาก จึงฆ่าเวลาโดยการกินและนอน (ยังกับอยู่บ้านตัวเอง)
เพราะป้าไม่ค่อยแข็งแรงนัก ในระหว่างที่เดินทางไปโรงแรมก็คิดได้ว่าต้องแวะโรงพยาบาลเพื่อเอายาเพิ่ม แต่กลับถูกตรวจพบว่าอ่อนเพลียจนต้องนอนให้น้ำเกลือสักพักใหญ่ ซูอินเองก็บังเอิญถูกตามตัวกระทันหัน ให้ไปเป็นตัวแสดงประกอบ แบบงานช่วย เพื่อต่อยอดได้โอกาสออดิชั่นเที่ยวหน้า ซึ่งเขารอคอยมาก แล้วเขาจะตัดใจทิ้งป้าไว้กลางทางลงไหม
เรื่องนี้เดินเรื่องแบบ Slice of life ให้ตามเก็บความสัมพันธ์ที่น่ารักอบอุ่น ผ่านบทสนทนาของป้า-หลาน และการปฏิบัติต่อกัน ที่ดำเนินไปแบบเคมีเรียล ๆ ดูเป็นธรรมชาติ เพราะฝีมือการแสดงของนักแสดงทั้งคู่ ความสุขของป้ายังคงวนเวียนกลับมาได้เหมือนกับละครที่ป้าชอบดู ซึ่งมักจะ Re-run เสมอ
********************************
Bandi
- ผู้กำกับ : ชเวฮีซอ
- ความยาว : 40 นาที
- นักแสดง : ชเวฮีซอ , พัคโซอี , โจคยองซุก และ ชินฮยอนซู
เล่าถึง โซยอง (รับบทโดย ชเวฮีซอ) กับลูกสาววัย 9 ขวบ พันดิ (รับบทโดย พัคโซอี) ที่จะถ่ายทอดเรื่องราวเจือเศร้าแต่อบอุ่นหัวใจ ละมุนในอารมณ์ดี โดยทั้งคู่เป็นนักแสดงที่ได้กลับมาร่วมงานในบทแม่ลูกกันอีกครั้งหลังจากภาพยนตร์ Deliver Us from Evil (2020)
พันดิ เป็นเด็กพูดติดอ่าง ตะกุกตะกักจนถูกเพื่อน ๆ ล้อ ทำให้เธอเข้ากับใครไม่ได้ วันหนึ่งแม่พาเธอไปเยี่ยมย่า (รับบทโดย โจคยองซุก) ซึ่งไม่ได้ไปมาหาสู่นานแล้ว เนื่องจากโซยองเองก็ต้องเลี้ยงดูลูกและทำงานไปด้วย
เมื่อพันดิได้เห็นความใจดีของย่า และได้เข้าไปอยู่ในห้องนอนเดิมของพ่อ เธอมีความสุขมากกับการสำรวจข้าวของของพ่อ ทำให้ได้รู้เรื่องราวของพ่อและแม่ในอดีต ซึ่งไม่เคยได้รู้มาก่อน นอกจากนี้ การได้เข้าไปเดินเล่นในป่ากับแม่ บนเขาเล็ก ๆ หลังบ้าน พูดคุยถึงความทรงจำที่มีค่าของพ่อกับแม่นั้น ช่างมหัศจรรย์สำหรับพันดิ เธอมีความสุข และร่าเริงจนหายติดอ่างเป็นปลิดทิ้ง
แท้จริงแล้ว วอนซอก (รับบทโดย ชินฮยอนซู) พ่อของพันดิได้เสียชีวิตไปแล้ว แต่โซยองไม่กล้าบอกความจริงกับเธอ พันดิได้รู้ว่าชื่อของเธอซึ่งแปลว่า หิ่งห้อย มีที่มาจากพ่อ จากที่สมัยพ่อยังเด็กเคยออกตามหาหิ่งห้อยในป่านี้กับเพื่อน ๆ และอยากเก็บความเรืองแสงสุกใสไว้ในขวดแก้ว ซึ่งพ่อเคยเล่าเรื่องนี้อย่างมีความสุขให้โซยองฟัง และขวดแก้วนั้นก็ยังถูกเก็บอยู่ที่ห้องพ่อของเธอ
ความอบอุ่นซึ้งใจที่สื่อมากับหนังว่า ความทรงจำที่ดีได้กลับมาเปล่งประกายให้พันดิหายติดอ่าง ก็คือ การเยียวยาคลี่คลายปมในใจ สิ่งใดที่แม้ไม่รู้ว่ามีอยู่จริงหรือไม่ แต่ถ้าเราเชื่อว่ามี มันก็จะมีอยู่ในใจของเรา และยิ่งถ้าเป็นความทรงจำใดที่มีค่าต่อเรา มันก็จะอยู่กับเราเสมอ เหมือนที่แม่ของวอนซอก หรือโซยองก็สัมผัสได้เช่นนั้น และเช่นเดียวกับที่พันดิจะมีความทรงจำดี ๆ ของพ่ออยู่ในใจไปตลอดนับจากนี้
เรื่องนี้ พัคโซอี น่ารักมากอีกเช่นเคย ดวงตาโตแป๋วที่สะกดผู้ชม การแสดงอารมณ์หรือการพูดติดอ่างทำได้ดีมากเกินวัยจริง ๆ
Trailer รวมทุกเรื่อง :
ติดตามบทความรีวิวอื่นๆ ข่าวสารบันเทิงเกาหลี หรือพูดคุยกับ WARUMANU ได้ที่ เพจมูฟวีข้ามวันซีรีส์ข้ามคืน
ติดตามข่าวสารและสิ่งที่น่าสนใจจากเราได้ที่
Facebook Fanpage : facebook.com/korseries
Twitter : twitter.com/korseries
Website : korseries.com
Youtube : Korseries
ขอความกรุณาไม่คัดลอก-ดัดแปลงบทความไปโพสต์ลงในเพจ-สำนักข่าวอื่น รวมถึงไม่นำบทความไปอ่านลง YouTube หรือแพลตฟอร์มใด ๆ โปรดช่วยแชร์เป็นลิ้งก์นะคะ ♡
