Hometown Cha-Cha-Cha เป็นซีรีส์ที่นอกจากจะทำให้คนดูฟินตัวแตกกับเคมีความรักอันฟุ้งกระจายของคู่ลักยิ้มชิกฮเย ที่คลั่งรักกันจนเมืองกงจินแทบจะย้อมเป็นสีชมพูแล้ว ในแง่ความสัมพันธ์ครอบครัวเรื่องนี้ก็ทำให้คนดูอินได้ดีไม่แพ้กัน ตั้งแต่เปิดเรื่องมา เราต่างก็ได้แง่คิดในการ ‘สอนลูก’ จากผู้นำชุมชน ยอฮวาจอง (รับบทโดย อีบงรยอน) ไปหลายต่อหลายฉากและเธอเป็นตัวละครที่ทำเอาประทับใจจนเราอดไม่ได้ที่จะขอมาพูดถึงเธอผ่านบทความนี้
*บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาบางส่วนในซีรีส์*
ย้อนกลับไปยังฉากไหว้บรรพบุรุษใน EP.4 เราจะได้เห็นการแทรกฉากเล็กๆที่ทรงคุณค่า อย่างฉากการสอนลูกด้วยเหตุผลอย่างใจเย็นของยอฮวาจอง เธอรู้อยู่แล้วว่าลูกของเธอเป็นเด็กที่ค่อนข้างเคร่งครัดกับความเป๊ะของกฎระเบียบมากขนาดไหน การที่มาเห็นเค้กโรลบนโต๊ะไหว้บรรพบุรุษจึงเป็นอะไรที่แปลกตาสำหรับเด็กชายสุด ๆ เพราะถือเป็นสิ่งที่ไม่ได้อยู่ในตำราและกฎที่ถูกตั้งไว้ตั้งแต่แรก จึงไม่แปลกที่เด็กชายจะถามแม่ออกมาอย่างฉงนว่า “วางของแบบนี้บนโต๊ะไหว้ได้ยังไงกันครับ”
แต่เมื่อยอฮวาจองเห็นปฏิกิริยาของลูก เธอก็เริ่มค่อยๆอธิบายถึงที่มาของเค้กโรลอย่างใจเย็นพร้อมรอยยิ้มอันแสนอ่อนโยนว่าเค้กโรลอันนี้เป็นของที่คุณยายชอบกินมากที่สุด และไม่วายโยนคำถามอย่าง “แม่ขอวางสิ่งที่คุณยายชอบไม่ได้เหรอ” ด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล การโยนคำถามกลับในลักษณะนี้เป็นการโยนกลับให้ลูกได้คิดถึงเหตุและผลของปัญหาที่อยู่ตรงหน้าว่าควรจะแก้ไขตัดสินใจเพื่อผ่านมันไปได้ยังไง พร้อมกับให้ลูกได้เรียนรู้ที่จะผ่อนปรนความเคร่งครัดในกฎระเบียบแบบแผนของตัวเองลงบ้าง สุดท้ายก็เป็นผล เด็กชายถึงกลับย้ายเค้กโรลมาไว้ตรงกลางโต๊ะเลยทีเดียว เป็นการสอนให้ลูกได้คิดเอง และยังแสดงให้เห็นว่าคนเป็นแม่ก็พร้อมจะเชื่อมั่นและเคารพในการตัดสินใจของลูกด้วย เป็นการสอนลูกที่ใส่ใจและให้เกียรติลูกตัวน้อยอย่างถึงที่สุด
เมื่อเดินทางมาถึง EP.12 เราก็ได้เห็นฉากการสอนลูกของยอฮวาจองที่แสนจะทัชใจอีกครั้ง ที่เธอเข้าใจในตัวตนของลูก ให้เกียรติลูก เคารพและให้สเปซในการตัดสินใจของลูก ทะนุถนอมแต่ไม่ใช่การทำร้ายลูกทางอ้อม สั่งสอนทุกอย่างด้วยการชี้ให้เห็นเหตุและผล ให้ลูกได้คิดตามและตัดสินใจเองว่าควรทำหรือไม่ควรทำ เปิดกว้างให้ลูกมองพ่อและแม่เป็นบุคคลที่เขาจะสามารถพูดคุยแลกเปลี่ยนได้ทุกอย่างเป็นบุคคลที่เขาจะสบายใจด้วยมากที่สุดได้
ยิ่งฉากบนโต๊ะอาหารในอีพีนี้ ยิ่งทำให้รู้เลยว่าการที่น้องอีจุนเติบโตมาอย่างดีขนาดนี้ ส่วนหนึ่งก็เพราะมีแม่ที่คอยสั่งสอน และมีพ่อคอยซัพพอร์ตอยู่ข้าง ๆ ตลอดเลยนี่แหละ ซึ่งสิ่งที่บ้านนี้กำลังทำอยู่มันคือการติดอาวุธปลูกฝังทัศนคติให้ลูกกลายเป็นเด็กที่มีความคิดแบบเติบโต หรือ Growth Mindset นั่นเอง
“ผมตั้งใจว่าถ้าได้รางวัลจากการแข่งขันคณิตศาสตร์จะมาขออนุญาตจากแม่” น้องอีจุนพูดขึ้นบนโต๊ะอาหารเพื่อขอแม่เลี้ยงเจ้าจืดชืด เม่นน้อยที่ฝากหมอยุนเลี้ยงเอาไว้ “ได้สิ เลี้ยงกัน พาเจ้าเม่นมาเลย” ยอฮวาจองตอบกลับคำขอของลูกชายอย่างร่าเริงทันที “แต่อีจุนจ๊ะ แม่ไม่ได้อนุญาตเพราะลูกได้รางวัลมาหรอกนะ แม่อนุญาตเพราะลูกอยากเลี้ยงต่างหาก และที่เรามาปาร์ตี้ครอบครัวกันตอนนี้ก็ไม่ใช่เพราะอีจุนได้รางวัลด้วย” เด็กน้อยตั้งใจฟังสิ่งที่แม่พูดอย่างตั้งใจ พร้อมกับเกิดคำถามในใจว่าแล้วที่มาเลี้ยงกันวันนี้มันเพราะอะไรกันล่ะ ไม่ใช่เพราะเขาได้รางวัลที่ 2 ในการประกวดคณิตศาสตร์ระดับจังหวัดหรอกหรอ แต่เหมือนแม่ของอีจุนจะล่วงรู้ความคิดของลูกชายจึงเอ่ยปากต่อทันที
“อีจุน ลูกเก่งมากที่ได้รางวัลมา แต่ถึงลูกไม่ได้รางวัลเราก็จัดปาร์ตี้ฉลองกันอยู่ดี นี่เป็นปาร์ตี้ในโอกาสที่ลูกชายของแม่พยายามเต็มที่ต่างหากล่ะ แม่ว่านั้นสำคัญกว่าผลลัพธ์อีกนะ” สิ้นประโยค พ่อของอีจุนก็เสริมทัพให้คำพูดของผู้เป็นแม่ทรงพลังมากขึ้นไปอีกว่า “เรื่องการเรียนไม่ต้องเก่งก็ได้ พ่ออยากให้อีจุนของเราเติบโตแบบเด็กที่มีความสุข”
ประโยคสนทนาข้างต้น มันเป็นประโยคที่แสนเรียบง่าย แต่ดีมากจริง ๆ มันเป็นการชื่นชมกับความสำเร็จของลูก ที่มาพร้อมกับการชี้ให้เห็นว่าแม้ลูกจะไม่มีความสำเร็จมาแลกเปลี่ยน ก็ยังสามารถพูดคุยกับพ่อแม่ที่พร้อมจะรับฟังได้ทุกเรื่อง และยังย้ำอีกว่า การที่พ่อแม่ชื่นชมเขานั้น ไม่ได้เป็นเพราะว่าเขาได้รับรางวัลเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเพราะลูกชายตัวน้อยของพวกเขาพยายามอย่างเต็มที่แล้วต่างหาก แถมยังแสดงให้เห็นชัด ๆ ไปเลยว่าสิ่งที่พ่อแม่อยากเห็นจากลูกตัวน้อยไม่ใช่การเรียนได้เป็นที่ 1 หรือ ชนะรางวัลใหญ่โตแต่เป็นการที่ได้เห็นลูกชายของพวกเขาเติบโตอย่างมีความสุขเพียงเท่านั้น
เป็นการสอนไม่ให้เด็กยึดติดกับผลลัพธ์ การเอาชนะ หรือการขึ้นเป็นที่ 1 จนกลายเป็นเด็กที่มีทัศนคติแบบ Fixed Mindset หรือเป็นเด็กที่มีกรอบความคิดแบบติด แต่การสอนของยอฮวาจอง เป็นการสอนให้ลูกเห็นค่าของความพยายามและวิธีการระหว่างทางที่จะไปถึงเป้าหมาย
มีพ่อแม่หลายคนที่มักจะคิดว่าการชมลูกในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นสิ่งที่จะทำให้ลูกเหลิงและไม่พัฒนาตัวเอง การที่คอยกดดัน ไม่ชม หรือให้รางวัลเฉพาะตอนประสบความสำเร็จเป็นสิ่งที่สมควรทำที่สุดเพื่อให้ลูกได้ดี แต่ความคิดเหล่านั่นผิดมหันต์ สิ่งเหล่านี้มันเป็น การเสริมแรงทางลบ (Negative Reinforcement) ที่ไม่ได้มีความยั่งยืนใด ๆ แถมยังสร้างแผลใจเป็นตราบาปติดตัวลูกไปจนตายอีกต่างหาก
ความคิดแบบเติบโต หรือ Growth Mindset คืออะไร
ความคิดแบบเติบโต หรือ Growth Mindset เกิดขึ้นมาจากงานวิจัยของ Carol Dweck นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ซึ่งเธอได้ทำการค้นพบว่า Growth Mindset เป็นสิ่งที่สร้างได้จากการเลี้ยงดูของพ่อแม่ และถือเป็นสิ่งที่มีความสําคัญต่อการดําเนินชีวิตด้วยเพราะความคิดแบบเติบโตไม่ได้มีผลต่อการเรียนรู้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับความสามารถในการดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างราบรื่นอันเนื่องจากการมีสุขภาพจิตและการปรับตัวที่มีประสิทธิภาพด้วย การที่เด็กโตมาด้วยทัศนคติแบบ Growth Mindset จะทำให้เขาเป็นเด็กที่สนุกกับการเรียนรู้ กระตือรือร้น ชอบแสวงหาและลงมือทำสิ่งใหม่ ๆ ชอบความท้าทาย และพร้อมที่จะเรียนรู้และฝ่าฟันอุปสรรคต่าง ๆ อยู่เสมอ
บทความโดย โชว์มีเดอะซีรีส์ สามารถติดตามการวิเคราะห์เจาะลึกประเด็นต่างๆในซีรีส์และการวิเคราะห์ตอนต่อตอนได้ทางเพจ โชว์มีเดอะซีรีส์
บทความที่เกี่ยวข้อง
พาทำความรู้จักพิธีไหว้บรรพบุรุษของเกาหลี ผ่านซีรีส์ Hometown Cha-Cha-Cha
ว่าด้วยค่าแรงขั้นต่ำในเกาหลีใต้ ผ่านซีรีส์ Hometown Cha-Cha-Cha
ติดตามข่าวสารและสิ่งที่น่าสนใจจากเราได้ที่
Facebook Fanpage : facebook.com/korseries
Twitter : twitter.com/korseries
Website : korseries.com
Youtube : Korseries
ขอความกรุณาไม่คัดลอก-ดัดแปลงบทความไปโพสต์ลงในเพจ-สำนักข่าวอื่น รวมถึงไม่นำบทความไปอ่านลง YouTube หรือแพลตฟอร์มใด ๆ โปรดช่วยแชร์เป็นลิ้งก์นะคะ ♡
Source (1)