เมื่อเหยื่อเล็กๆรายหนึ่งลุกขึ้นมาจัดการบิ๊กแก๊งอาชญากรรมวายร้าย
เมื่อประชาชนคนธรรมดาๆเสี่ยงตายแกะรอยหาเบาะแสแทนผู้พิทักษ์สันติราษฏร์
เมื่ออาจุมม่าบ้านๆฮึดสู้เกินตัว มิให้คนชั่วลอยนวลและหยามศักดิ์ศรีเอาได้
Citizen of a Kind เป็นภาพยนตร์แนวอาชญากรรม แอ็คชั่น คอมเมดี้ ดราม่า ที่อิงเรื่องจริงของคดี voice phishing ซึ่งเกิดขึ้นในปี 2016 ที่เมืองฮวาซอง จังหวัดคยองกี จัดเป็นหนังฟอร์มเล็กที่ประสบความสำเร็จสามารถทำยอดตั๋วทะลุล้านใบได้
เรื่องราวของภาพยนตร์เริ่มต้นที่ คิมด็อกฮี (รับบทโดย รามีรัน) แม่เลี้ยงเดี่ยวลูกสอง วัยยังเด็ก ประสบปัญหาใหญ่ สูญเสียร้านซักรีดไปเพราะเพลิงไหม้ ทำให้หมดเนื้อหมดตัว ไร้ที่อยู่ เอาลูกๆไปฝากเลี้ยงที่เนอร์สเซอรี่ ตัวเองมาทำงานที่โรงงานซักรีด เมื่อไม่มีเงินส่งเสีย เด็กๆก็ต้องมาแก่วอยู่ในโรงงานแทน ประกันก็ไม่ครอบคลุมความเสียหาย จึงหวังพึ่งสินเชื่อแบงค์มากู้คืนร้าน แต่ก็ไม่ผ่านคุณสมบัติอีก
และแล้ววันหนึ่ง เธอได้รับสายจากผู้ช่วยผู้จัดการซนจินยองของธนาคารแจ้งว่ามีสินเชื่อตัวใหม่ที่เข้ากับเคสของเธอ จะอนุมัติให้โดยต้องจ่ายค่าธรรมเนียมนู่นนี่นั่นจำนวนหนึ่ง ด้วยอารามดีใจที่จะหลุดพ้นความเดือดร้อน จึงรีบโอนเงินไปให้อย่างรวดเร็ว
เมื่อได้สติก็พบว่าความไม่ชอบมาพากล พอเช็คกับธนาคารก็ชัดว่า เธอตกเป็นเหยื่อของพวกสแกมเมอร์เข้าแล้ว จึงไปแจ้งความหวังให้ตำรวจติดตามทวงเงิน 32 ล้านวอนที่เสียไปคืน แต่สายสืบพัค (รับบทโดย พัคบยองอึน) ก็ได้แต่ลงบันทึกประจำวัน โดยไม่ได้คิดจะติดตามอะไรให้ ด้วยว่าเป็นความเสียหายเล็กน้อย เมื่อเทียบกับคดีอื่นที่เขากำลังง่วนอยู่ ทั้งจำนวนคนและวงเงินสูงที่กว่า และที่สำคัญคดีของด็อกฮีไม่มีข้อมูลเบาะแสอะไรสักอย่างให้ติดตาม ยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร สายสืบพัคจึงเมินและเลี่ยงที่จะคุยกับด็อกฮีผู้ตามวอแวอีก
ห่างไปอีกฟากทะเล ที่จังหวัดชิงต่าวของจีน ควอนแจมิน (รับบทโดย กงมยอง) คือผู้ที่อยู่ปลายสาย หลอกว่าเป็นผู้ช่วยซนของธนาคารนั้น เขาคือหนึ่งในเด็กหนุ่มนักศึกษาที่ถูกล่อลวงไปทำงานในแก๊งคอลล์เซ็นเตอร์นี้ ซึ่งมีฐานปฏิบัติการเป็นตึกแถวซอมซ่อแห่งหนึ่ง มีนักเลงคุมงาน ใช้ความรุนแรงข่มขู่บังคับ ใครคิดหนีก็ถูกทุบตีหักแข้งหักขา เพราะแก๊งนี้มีบิ๊กบอสเป็นคนขี้หงุดหงิด ระคายหูง่าย จนแจมินไม่กล้าหลบหนีเอง ควรรอตำรวจด้วยการขอความช่วยเหลือผ่านด็อกฮีดีกว่า เพราะเธอดูจะเป็นคนมุ่งมั่นแอคทีฟดี ตอนโอนตังมายังไวมากเลย 555
ปฏิบัติการลับสุ่มเสี่ยงที่ค่อยเป็นค่อยไปเพื่อการเอาชีวิตรอด เริ่มจากการหว่านล้อมให้ด็อกฮีเชื่อว่าเขาไม่ได้หลอกเธอซ้ำ และเริ่มให้เบาะแสแรกเป็นรหัสลับของพิกัดสถานที่เท่าที่เขาพอจะมองเห็นได้จากหน้าต่าง นั่นคือร้านอาหารชุนเหอโหลว ในขณะที่ฝั่งด็อกฮีก็พยายามจะส่งข้อมูลนั้นให้สายสืบพัค หวังให้ตำรวจไปสืบตาม ช่วยเหลือแจมิน ตัวเองได้เงินคืน และจับตัวการใหญ่ให้ได้ แต่สายสืบพัคก็ยังเพิกเฉย แถมเร่งปิดคดีไปซะอีก
ด็อกฮีต้องไปตระเวนหาเหยื่อรายอื่นๆเพื่อหวังสร้างกลุ่มพลังเหยื่อให้ตำรวจหันมาเหลียวแล และได้บังเอิญไปเจอประกาศเงินรางวัลชี้เบาะแสเพื่อจับสแกมเมอร์ มูลค่า 100 ล้านวอนจากตำรวจ ประจวบกับลูกๆของเธอถูกทางการมายึดตัวไปอยู่ศูนย์ดูแล เนื่องจากได้รับรายงานว่าผู้ปกครองทารุณเด็ก เลี้ยงดูอยู่ในโรงงาน ไม่มีความปลอดภัย
โอกาสและวิกฤตินี้ส่งให้ด็อกฮีฮึดพึ่งพาตัวเอง ตะลุยไปแกะรอยต้นตอสแกมเมอร์ที่จีน ร่วมกับสองเพื่อนซี้ที่โรงงาน คือ บงริม (รับบทโดย ยอมฮเยรัน) ซึ่งมีเชื้อสายจีน กับ ซุกจา (รับบทโดย จางยุนจู) สมทบกับน้องสาวของบงริม คือ แอริม (รับบทโดย อันอึนจิน) ซึ่งหากินขับแท็กซี่อยู่ที่จีน หวังว่าอย่างน้อยก็หาให้ได้ที่อยู่ชัดเจนกลับมาเป็นข้อมูลให้ตำรวจเพื่อเปิดคดีขึ้นมาจัดการใหม่
ด็อกฮีและเพื่อนๆตระเวนหาชุนเหอโหลว ที่ชวนเหวอเพราะมีสาขามากถึง 72 แห่งทั่วเมือง ด้วยอีกแค่เบาะแสว่าเป็นละแวกที่มีเครื่องจักรเย็บผ้าเยอะๆ ในขณะเดียวกัน แจมินเองก็พยายามช่วยตัวเองในการหาโทรศัพท์มาเพื่อถ่ายรูปหลักฐานต่างๆส่งกลับมาให้ ไปๆมาๆต่างฝ่ายต่างพยายามจนได้เจอกัน ช่วยกันให้ตำรวจได้ข้อมูลเบาะแสมากมายเกินคาด นำมาสู่การเข้าจับกุม แต่อุปสรรคต่างๆก็มีมากเกินคาดเช่นกัน รวมถึงอันตรายสุดๆที่พวกเขาต้องเผชิญ เพราะบิ๊กบอสคือร้ายเหลือเกิน!
กระบวนการทั้งสิ้นกินเวลาไปสองเดือนกว่า นับว่าเป็นการผจญภัยสืบสวนที่น่าติดตาม ลุ้นเอาใจช่วยมากกว่าปกติ เพราะตัวละครหลักน่าเห็นใจทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นแจมินที่สุดหวาดเสียวอยู่ในถ้ำเสือ หรือด็อกฮีและแก๊งเพื่อน ล้วนมือใหม่หัดสืบ สไตล์อาจุมม่าเงอะงะหน่อยๆ จะพลาดให้ถูกจับตอนไหนก็ไม่รู้ หรือแม้กระทั่งทีมตำรวจ ที่ชวนส่ายหัวในความไม่เอาไหน แต่ก็ยังต้องลุ้นให้เป็นจิ๊กซอว์จบภารกิจให้ได้ ทุกคนจะมีพัฒนาการในเส้นทางของตัวเอง ไปกับบทที่ส่งพีคขึ้นไปเรื่อยๆจนปัญหาคลี่คลายได้ในที่สุด ให้รสชาติสนุกสนาน เขย่าได้ลงตัว ด้วยสาระจริงจังผสมบันเทิงเพลินๆ ที่แทรกมุกตลกขำขันพอเหมาะพอเจาะตลอดเรื่อง
เนื้อหาที่มาจากเรื่องจริงคือครึ่งเรื่องแรก ที่ผู้หญิงเจ้าของร้านซักรีดตกเป็นเหยื่อสแกมเมอร์ และได้เบาะแสจากคนใน ส่งต่อตำรวจจนสามารถตามจับตัวหัวหน้าแก๊งนี้ได้ในเกาหลี ส่วนครึ่งหลังของเรื่องซึ่งคือการตะลุยชิงต่าว แกะรอยสืบด้วยตัวเอกนั้นเป็นเรื่องแต่งเติมเพื่อความบันเทิง
สิ่งน่าคิดและเป็นสาระสำคัญที่ผู้กำกับต้องการสื่อ ก็คือในสังคมที่เกลื่อนไปด้วยมิจฉาชีพเหล่านี้ ใครก็ตามที่หลงกลตกเป็นเหยื่อ หาใช่เป็นคนผิดที่โง่เขลา อย่าได้โทษตัวเอง อย่าได้สิ้นหวัง ให้ตัวอย่างของด็อกฮีซึ่งสามารถหลุดพ้นความรู้สึกนั้น ได้ความมั่นใจและคุณค่าตัวตนคืนมา เงินอาจเป็นสิ่งสำคัญในการดำรงชีพ แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุดของชีวิต ดังจะเห็นได้จากในบทท้ายเรื่อง ที่จะทำให้เราทึ่งกับความเป็น ‘ฮีโร่’ ในใจเธอ มากกว่าการจับผู้ร้าย
นอกจากนี้ ก็อาจเป็นการกระตุกเบาๆ (ที่อาจรู้สึกเจ็บแรงๆ) ให้ตำรวจเห็นปัญหานี้เป็นเรื่องสำคัญ ตราบใดที่มีผู้เสียหายไม่ว่าจะมีมูลค่ามากหรือน้อย พวกเขาต่างมีสถานะเป็น ‘เหยื่อ’ ที่สมควรได้รับความเป็นธรรม จัดการกับอาชญากรสังคมนั้น
สำหรับทีมนักแสดง เรียกว่าลงตัว สมบทบาทดีมากทุกคน โดยเฉพาะรามีรัน เธอถูกวางตัวในใจตั้งแต่ผู้กำกับเริ่มเขียนบทแล้ว เหล่าทีมนักแสดงสมทบซึ่งมีบทบาทสำคัญในเรื่อง ได้ อีมูแซง อีจูซึง ซองฮยอก พัคซองกึน มาช่วยกันเติมเต็มเรื่องราวอย่างดี
Trailer :
ติดตามบทความรีวิวอื่นๆ ข่าวสารบันเทิงเกาหลี หรือพูดคุยกับ WARUMANU ได้ที่ เพจมูฟวีข้ามวันซีรีส์ข้ามคืน